tag:blogger.com,1999:blog-65145301569731233742024-03-13T07:33:50.518+07:00บ้านยา ไทย สมุนไพรไทย หาทานง่าย เพื่อสุขภาพที่ดี สมุนไพร ไทย ก็ไม่แพ้ใครในโลกสมุนไพรไทย รักษาโรคได้ ปลูกเองได้ บำรุงร่างกาย โดย ภูมิปัญญาไทย และงานวิจัยสมัยใหม่http://food-plants.blogspot.com/http://www.blogger.com/profile/04223739952562743625noreply@blogger.comBlogger24125tag:blogger.com,1999:blog-6514530156973123374.post-37316822051861460242013-10-30T09:17:00.001+07:002014-03-20T13:32:10.614+07:00มะกอก สุดยอดแห่ง สมุนไพรไทย<div style="background-color: white; border: 0px; margin-bottom: 1.5em; outline: 0px; padding: 0px;">
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;"><b>ชื่อวิทยาศาสตร์ : Spondias cytherea Sonn.</b></span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;"><b>ชื่อสามัญ : Jew’s plum, Otatheite apple</b></span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;"><b>วงศ์ : Anacardiaceae</b></span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;"><b>ชื่อพื้นเมืองหรือชื่อตามท้องถิ่น</b> : มะกอก (กลาง) กอกฤก กูก กอกหมอง (เหนือ) กอกเขา (ใต้ทางนครศรีธรรมราช) กอก (ใต้) มะกอกดง ไพแซ มะกอกฝรั่ง หมากกอก (อุดร-อีสาน-จังหวัดบ้านเกิดของผู้เขียน)</span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;">รูปร่างลักษณะของต้นมะกอก (ดูรูปประกอบ) : </span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;">ลักษณะต้น สูง 7-12 เมตร เปลือกลำต้นมีสีเทาหรือน้ำตาลแดง</span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;">ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ก้านใบยาว ใบย่อยรูปไข่ค่อนข้างเรียวแหลม ขอบใบหยักเล็กน้อย</span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;">ดอก ออกเป็นช่อแบบเพนิเคิล* ตามปลายยอด ดอกย่อยมีกลีบดอก 5 กลีบ สีขาว ฐานรองดอกมีสีเหลือง เป็นดอกสมบูรณ์เพศ</span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;">* อธิบายนิดนึงถึงเผื่อไปเจอในบทความอื่นจะได้เข้าใจคำว่าช่อแบบ เพนิเคิล เป็นช่อดอกที่มีช่อดอกแตกออกมาจากช่อดอกใหญ่อีกทีหนึ่ง</span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;">ผล รูปไข่หรือรูปกระสวย มียางคล้ายไรไข่ปลา ผลอ่อนมีสีเขียวเข้ม ผลแก่มีสีเขียวอมเหลือง สุกมีสีส้ม เมล็ด กลมรี เปลือกหุ้มเมล็ดแข็ง และมีขนแข็งที่เปลือกหุ้มเมล็ด ที่เรามักเห็นจุดดำๆในมะกอกเป็นจุดที่เกิดจากการเก็บไว้นาน แล้วทำปฏิกริยากับอากาศ</span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;">ส่วนที่ใช้ประโยชน์ได้ : ผล เปลือก ใบ ยาง เมล็ด</span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;">สรรพคุณทางด้านสมุนไพรไทย :</span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;">เนื้อผลมะกอก - มีรสเปรี้ยวฝาด หวานชุ่มคอ บำบัดโรคธาตุพิการ*โดยน้ำดีไม่ปกติ และมี่ประโยชน์แก้โรคบิดได้ด้วย</span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;">ธาตุพิการ หรืออาหารไม่ย่อย (Indigestion หรือ Dyspepsia) คือ อาการไม่สุขสบายที่เกิดขึ้น อาจมีเพียงอาการเดียว หรือหลายๆอาการพร้อมกัน อาจเกิดในขณะกินอาหาร และ/หรือภายหลังกินอาหาร เช่น แน่นท้อง อึดอัด เรอ แสบร้อนกลางอก คลื่นไส้ บางครั้งอาเจียน</span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;">น้ำคั้นใบมะกอก - ใช้หยอดหู แก้ปวดหูได้ (ตรงนี้หากกรณีมีแมลเข้าหูและนำน้ำมันมะกอกนะครับ)</span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;">ผลมะกอกสุก - รสเปรี้ยว อมหวาน รับประทานทำให้ชุ่มคอ แก้กระหายน้ำได้ดี ลักษณะแบบตอนกินแล้วฝาดแต่พอกินน้ำตามแล้วหวานคอดีเช่น เดียวกันกับผลมะขามป้อม</span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;">เปลือก - ฝาด เย็นเปรี้ยว แก้ร้อนในอย่างแรง แก้ลงท้องปวดมวน แก้สะอึก</span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;">เมล็ดมะกอก - สุมไปให้เป็นถ่าน แช่น้ำ เอาน้ำรับประทานแก้ร้อนใน แก้หอบ แก้สะอึกดีมาก ใผ</span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;">ใบอ่อนหรือยอดอ่อน – รับประทานเป็นอาหารได้</span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;"><br /></span></span>
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;"><b><u>ประโยชน์ทางอาหารของมะกอก</u></b></span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;">ส่วนที่เป็นผักคือยอดอ่อนและใบอ่อน ออกในฤดูฝน และออกเรื่อยๆ ตลอดทั้งปี ส่วนผลเริ่มออกในฤดูหนาว การปรุงอาหารคนไทยทุกภาคของเมืองไทยรู้จักและรับประทานยอดมะกอกเป็นผักสด</span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;">ในภาคกลางรับประทานยอดอ่อนใบอ่อน ร่วมกับน้ำพริกปราร้า เต้าเจี๊ยวหลน ชาวอิสานรับประทานร่วมกับ ลาบ ก้อย แจ่วป่นต่างๆ โดยเฉพาะกินกับลาบนี่อร่อยเหาะ(ผู้เขียน) สำหรับผลสุกของมะกอกนิยามฝานเป็นชิ้นเล็กๆใส่ในส้มตำหรือพล่ากุ้ง รสชาติจะอร่อยยิ่งๆขึ้น</span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;"><br /></span></span>
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;"><b><u>คุณค่าทางอาหารของมะกอก</u></b></span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;">- ยอดอ่อนของมะกอก 100 กรัม ให้พลังงาน 46 กิโลแคลอลี่ไม่มีบลาบลา</span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;">- เส้นใย (fiber) 16.7 กรัม</span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;">- แคลเซียม 49 มิลลิกรัม</span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;">- ฟอสฟอรัส 80 มิลลิกรัม</span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;">- เหล็ก 9.9 มิลลิกรัม</span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;">- เบต้าแคโรทีน 2017 ไมโครกรัม</span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;">- วิตามินเอ 337 ไมโครกรัมของเรตินอล</span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;">- วิตามินบีหนึ่ง 0.96 มิลลิกรัม</span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;">- วิตามินบีสอง 0.22 มิลลิกรัม</span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;">- ไนอาซิน 1.9 มิลลิกรัม</span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;">- วิตามินซี 53 มิลลิกรัม</span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;">น้ำมันมะกอกต้านมะเร็งผิวหนัง</span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;">ความนิยม น้ำมันมะกอกในบ้านเรามีมากขึ้น มีหลากหลายยี่ห้อวางขาย ใส่ผมบ้าง ทาผิวบ้างก็มี รวมไปถึงแบบที่ใช้ประกอบอาหาร ซึ่งแพงหน่อยนึง จริงๆการทานน้ำมันมะกอกชาวยุโรปฝั่งเมดิเตอร์เรเนียนจะนิยมทานมานานแล้ว แต่บ้านเราอาจไม่นิยมมากนัก เลยมีผู้ผลิตแบบใช้ประกอบอาหารไม่มาก ราคาจึงสูง ซึ่งน้ำมันมะกอกนี้เองนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย โกเบ ของญี่ปุ่น ซึ่งไม่ใกล้กับโกฮับ ที่เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวของไทย (ตะลึ่งตึ่งโป๊ะ) วิจัยมาแล้วว่ามีสรรพคุณช่วยป้องกันมะเร็งผิวหนังได้ โดยใช้นำมันมะกอกชนิดบริสุทธิ์ ทาหลังจากออกแดด โดยในน้ำมันมะกอกมี วิตามิน E และ C สูง ที่สามรถไปจัดการอนุมูลอิสระ ซึ่งเกิดเมื่อร่างกายได้รับรังสี UV จากแดดที่ทำลายเซลล์ผิวหนัง โดยน้ำมันมะกอกจะช่วยไปชะลอการเกิดเนื่องอก และลดความเสียหานที่เกิดกับเซลล์ได้</span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;">นำมันมะกอกกับการประกอบอาหาร</span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;">อย่างที่บอกว่าน้ำมันมะกอกมีสารต้านอนุมูลอิสระมาก ประกอบกับมีกรดไขมันไม่อิ่มตัว จึงเหมาะกับการทอดด้วยความร้อนสูง สมารถใช้ซ้ำได้โดยไม่เกิดปฏิกริยาเปลี่นแปลงใดๆ (ไม่เกิดปฏกริยาออกซิเดชั่น จนเกิดเป็นสารพิษตกค้าง เหมือนไขมันสัตว์ และไขมันจากเมล็ดพืช)</span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;">อีกอย่างเมื่อนำมาทอดน้ำมันมะกอกจะทำให้อาหารดูดซึมน้ำมันเพียงเล็กน้อย ทำให้รสชาติอาหารดี ประกอบกับความหอมของน้ำมันมะกอก จากหนังสือ Herb & Healthy ได้สรุปประโยชน์ของน้ำมันมะกอกไว้เป็นประเด็นดังนี้</span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;">1.ช่วยในการหมุนเสียนของดลหิต ป้องกันภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง ป้องกันความดันโลหิตสูงหัวใจล้มเหลว</span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;">2.ช่วยระบบย่อยอาหารให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะตับอ่อน ลำไส้ ถุงน้ำดี ยังป้องกันการก่อตัวของนิ่วอีกด้วย</span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;">3.ช่วยในเรื่องผิวหนัง ให้มีความยืดหยุ่น และป้องกันมะเร็งดังที่ได้พูดไปแล้ว</span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;">4.น้ำมันมะกอกช่วยระบบการเผาผลาญอาหาร (metabolic function) ภายในร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นทางเลือกที่ดีในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยเบาหวาน (พบว่าระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดลดลง 12 % เมื่อรับประทานน้ำมันมะกอก)</span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;">5.ดีต่อระบบกระดูก เพราะน้ำมันมะกอกช่วยร่างกายในการดูดซึมแคลเซียมได้ดี</span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;">6.ป้องกันโรคมะเร็ง เนื่องจากสารต้านอนุมูลอิสระ ดังที่ได้กล่าวไปในบทความเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ</span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;">7.ทำให้ร่างกายทนทานต่อสารกัมมันภาพรังสี ได้ดีขึ้น (แต่ไม่ใช่ทานแล้วไป จับกากนิวเคลียร์เลยนะ อันนี้แค่ทำให้ร่างกาย ไวต่อผลจากรังสีน้อยลง ยังต้องป้องกันที่ชุดอยู่ดี) โดยน้ำมันมะกอกเป็นอาหารที่ถูกบรรจุใน list อาหารของนักบินอวกาศ</span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;">8. อาหารเด็กอ่อน เนื่องจากน้ำมันมะกอกมีน้ำมันตามธรรมชาติใกล้เคียงกับน้ำนมมารดา (แต่น้ำนมมารดา ต้องสำคํญที่สุดนะครับ อันนี้ใช้ทำพวกอาหารไว้เสริมให้เด็กกิน)</span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;">9. ป้องกันการชราภาพและยังยั้งการเสื่อมถอบของสมอง</span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;">10.ป้องกันภาวะโรคหลอดเลือดหัวใจ จากการวิจัยพบว่าน้ำมันมะกอกช่วยลดระดับ คอเรสโตรอลชนิดเลวหรือ LDL แต่ไม่ทำให้ลด คอเรสโตรอลชนิดดี HDL ได้</span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;">นี่แหละครับคือประโยชน์จากมะกอก</span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;"><br /></span></span>
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;"><b>ขอความกรุณาทุกท่านที่นำบทความนี้ไป share ต่อหรือไปลงที่ web อื่นๆ</b></span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;"><b>รบกวนใส่ลิ้งค์ http://ไทยสมุนไพร.net เพื่อให้เครดิต ด้วยนะครับ</b></span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px; line-height: 22.265625px;"><b>ข้อมูลอ้างอิง สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด – สมเด็จพระเทพ (www.rspg.or.th) ,หนังสือ herb & health ,thai wikipedia</b></span></span></div>
http://food-plants.blogspot.com/http://www.blogger.com/profile/04223739952562743625noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6514530156973123374.post-6284624910229277072013-07-04T11:23:00.001+07:002013-07-04T11:23:31.461+07:00ข่า แก้ลมพิษ อาหารเป็นพิษชื่อวิทยาศาสตร์ : Alpinia galanga Swartz <br />
<br />
วงศ์ : ZINGIBERACEAE <br />
<br />
ชื่ออื่นๆ : กฏุกกโรหิณี (Ka-tuk-ka-ro-hi-ni)<br />
<br />
ถิ่นกำเนิด : อินเดีย พม่า ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ บอร์เนียว<br />
<br />
อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์<br />
<br />
<br />
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์<br />
<br />
รูปลักษณะ ไม้ล้มลุก ลำต้นเป็นก้านกลมแข็ง ใบสีเขียวแข็งหนา มีดอกจากกอขึ้นไปเป็นช่อใหญ่สี ขาวประสีม่วงแดง ลูกกลมขนาดลูกหว้า ลงหัวเป็นปล้องๆ แง่งยาว มีสีขาวอวบ<br />
<br />
<br />
สรรพคุณ :<br />
<br />
เป็นยาแก้ท้องขึ้น ท้องอืดเฟ้อ ขับลม<br />
แก้อาหารเป็นพิษ<br />
เป็นยาแก้ลมพิษ<br />
เป็นยารักษากลากเกลื้อน โรคผิวหนัง ติดเขื้อแบคทีเรีย เชื้อรา<br />
วิธีและปริมาณที่ใช้ :<br />
<br />
รักษาท้องขึ้น ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม แก้ท้องเดิน (ที่เรียกโรคป่วง) แก้บิด อาเจียน ปวดท้อง<br />
ใช้เหง้าข่าแก่สด ยาวประมาณ 1-1 ½ นิ้วฟุต (หรือประมาณ 2 องคุลี) ตำให้ละเอียด เติมน้ำปูนใส ใช้น้ำยาดื่ม ครั้งละ ½ ถ้วยแก้ว วันละ 3 เวลา หลังอาหาร<br />
<br />
รักษาลมพิษ<br />
ใช้เหง้าข่าแก่ๆ ที่สด 1 แง่ง ตำให้ละเอียด เติมเหล้าโรงพอให้แฉะๆ ใช้ทั้งเนื้อและน้ำ ทาบริเวณที่เป็นลมพิษบ่อยๆ จนกว่าจะดีขึ้น<br />
<br />
รักษากลากเกลื้อน โรคผิวหนัง<br />
ใช้เหง้าข่าแก่ เท่าหัวแม่มือ ตำให้ละเอียดผสมเหล้าโรง ทาที่เป็นโรคผิวหนัง หลายๆ ครั้งจนกว่าจะหาย<br />
<br />
สารเคมี<br />
1 - acetoxychavicol acetate น้ำมันหอมระเหย ซึ่งประกอบด้วย monoterene 2 - terpineol, terpenen 4 - ol, cineole, camphor, linalool, eugenol<br />
<br />
<div style="color: #111111; font-family: Arial, Tahoma, Verdana; font-size: 14px; line-height: 18px; padding: 0px 0px 15px;">
<span style="font-size: 14px; line-height: 18px;">- ใช้เหง้าสดตำให้ละเอียด นำมาผสมกับเหล้าขาว นำมาทาบริเวณผิวหนัง เพื่อรักษาโรคกลาก เกลื้อน หรือ ลมพิษได้</span></div>
<div style="color: #111111; font-family: Arial, Tahoma, Verdana; font-size: 14px; line-height: 18px; padding: 0px 0px 15px;">
- ช่วยขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องเดิน โดยนำเหง้าสดมาตำให้ละเอียด ผสมกับน้ำปูนใส ทานครั้งละประมาณครึ่งแก้ว</div>
<div style="color: #111111; font-family: Arial, Tahoma, Verdana; font-size: 14px; line-height: 18px; padding: 0px 0px 15px;">
- ช่วยลดอาการปวดฟัน โดยนำเหง้าสดมาตำ ผสมเกลือลงไปเล็กน้อย นำไปใส่ในรูฟันที่ปวด หรือ อาจจะอมไว้ที่เหงือกก็ได้</div>
<div style="color: #111111; font-family: Arial, Tahoma, Verdana; font-size: 14px; line-height: 18px; padding: 0px 0px 15px;">
- สามารถนำสารสกัดจากข่า มาทำเป็นยารักษาโรคได้ เช่น แก้ปวดบวมข้อ หลอดลมอักเสบ ยาขับลม ยาธาตุ และยารักษาแผลสด</div>
<div style="color: #111111; font-family: Arial, Tahoma, Verdana; font-size: 14px; line-height: 18px; padding: 0px 0px 15px;">
- ใช้เหง้าสดนำมาตำให้ละเอียด นำไปวางเพื่อไล่แมลง จากกลิ่นของน้ำมันหอมระเหย</div>
<div style="color: #111111; font-family: Arial, Tahoma, Verdana; font-size: 14px; line-height: 18px; padding: 0px 0px 15px;">
- สามารถใช้ผลข่า รักษาอาการปวดท้องและช่วยย่อยอาหารได้</div>
<div style="color: #111111; font-family: Arial, Tahoma, Verdana; font-size: 14px; line-height: 18px; padding: 0px 0px 15px;">
- ช่วยลดอาการไอ โดยนำข่ามาทุป ฝานบางๆ บีบมะนาวลงไปเล็กน้อย เติมน้ำตาล แล้วใช้อม เคี้ยว หรือกลืนเลยก็ได้</div>
<div style="color: #111111; font-family: Arial, Tahoma, Verdana; font-size: 14px; line-height: 18px; padding: 0px 0px 15px;">
- ช่วยลดอาการบวมช้ำ โดยใช้หัวข่าแก่ ทุบแล้วทาบริเวณที่บวมช้ำ เช้า-เย็น</div>
<br />
ขอบคุณ <a href="http://www.rspg.or.th/">http://www.rspg.or.th</a> , <a href="http://www.siamhealthandbeauty.com/">http://www.siamhealthandbeauty.com</a>http://food-plants.blogspot.com/http://www.blogger.com/profile/04223739952562743625noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6514530156973123374.post-77565443337586685192013-05-19T09:29:00.000+07:002013-05-19T09:29:21.596+07:00ผักกวางตุ้ง หรือ ผักกาดสายซิม (ภาคใต้)<br />
<br />
ผักกวางตุ้ง หรือ ผักกาดสายซิม (ภาคใต้)<br />
<br />
ชื่อท้องถิ่น: ผักกวางตุ้ง หรือ ผักกาดสายซิม (ภาคใต้)<br />
ชื่อสามัญ: Chinese Cabbage-PAI TSAI<br />
ชื่อวิทยาศาสตร์: Brassica pekinensis<br />
ชื่อวงศ์: Cruciferae<br />
ลักษณะวิสัย/ประเภท: ไม้ล้มลุก<br />
ลักษณะพืช:<br />
<br />
ต้นกวางตุ้งมีจุดเด่นที่เป็นผักแต่มีดอกสีเหลืองสดสวย แถมดอกกวางตุ้งยังทานได้อีกด้วย เป็นผักที่มีวิตามินสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินเอ วิตามินซี นอกจากนั้นยังมีธาตุอาหารพวกแคลเซียม และฟอสฟอรัสสูง เบต้าแคโรทีน นิยมนำมาผัดกับเนื้อสัตว์ ผัดน้ำมันหอย หรือต้มเป็นแกงจืด รสชาติหวาน และกรอบ โดยเฉพาะเมนูบะหมี่หมูแดง หรือบะหมี่เกี๊ยว ที่ต้องมีสีเขียวสดรสชาติกรอบๆของผักกวางตุ้งแซมอยู่ทุกชาม โดยธรรมชาติลำต้นของผักกวางตุ้งจะเป็นเส้นใยเหนียว ๆ เคี้ยวยาก<br />
<br />
<br />
สรรพคุณ<br />
ป้องกันความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลางของทารก ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง ผักกวางตุ้ง เป็นผักที่มีกากใยมาก แต่มีไขมันน้อย ทำให้รับประทานมากแค่ไหนก็ไม่อ้วน เรียกว่าเป็นผักที่รับประทานได้อิ่ม แต่ไม่อ้วน ช่วยลดการเสี่ยงจากการเป็นโรคมะเร็งโรคกล้ามเนื้อเสื่อม และโรคเลือดหัวใจตีบ<br />
<br />
กวางตุ้ง มีสารบางชนิดหากสัมผัสความร้อนจะกลายเป็นสารตัวใหม่ ชื่อ โอไซยาเนต สารนี้เมื่อเข้าสู้ร่างกายจะทำให้ท้องเสีย ความดันเลือดต่ำร่างกายอ่อนเพลีย แต่สารนี้จะสลายไปกับไอน้ำ เมื่อเราเปิดฝาทิ้งไว้ แต่กินสดๆก็ปลอดภัย กินกว้างตุ้งกินเท่าไรก็ไม่อ้วน ช่วยทำให้กล้ามเนื้อ กระชับกระฉับกระเฉง กวางตุ้งมีกากใยอาหารมาก ไขมันน้อย ขับถ่ายสะดวก กินกว้างตุ้งแล้ว ร่างกายได้ภูมิต้านทานดีนัก กินกวางตุ้ง วันละ 1 กำมือ ประมาณ 3 วัน กวางตุ้งจะไปทำให้สาร ฟรีนีโมนหลั่ง กินเป็นประจำจะทำให้กลิ่นตัวหอม<br />
<br />
<br />
ข้อมูลอื่นๆเพิ่มเติม: <br />
สรรพคุณทางยา: มีวิตามินซี เบตาแคโรทีนช่วยในการบำรุงสายตาและเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และเชื่อว่าผักกวางตุ้งมีฤทธิ์บรรเทาอาการปวดข้อช่วยลดการเสี่ยงจากการเป็นโรคมะเร็งโรคกล้ามเนื้อเสื่อม และโรคเลือดหัวใจตีบ นิยมนำมาปรุงเป็นแกงจืด ต้มจับฉ่ายหรือนำไปผัด ซึ่งไม่ควรตั้งไฟนานเพราะความร้อนทำลาย วิตามินในผัก โดยเฉพาะวิตามินซี แต่เบตาแคโรทีนนั้นทนร้อนมากกว่า หากให้โดนความร้อนแค่ 1-2 นาทีจะมีเบตาแคโรทีนสูงกว่าครึ่งพอที่ร่างกายนำไปใช้บำรุงสุขภาพดวงตาและเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ผักกวางตุ้งสามารถรับประทานสดได้แต่จะมีกลิ่นเหม็นเขียว<br />
<br />
<b style="background-color: white; color: #333333; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 20px;"><span style="font-size: medium;"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';">:กวางตุ้งช่วยลด การเสี่ยงจากการเป็นโรคมะเร็งโรค กล้ามเนื้อเสื่อม และโรคเลือดหัวใจตีบ</span></span></b><br />
<b style="background-color: white; color: #333333; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 20px;"><span style="font-size: medium;"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';"><br /></span></span></b>
<b style="background-color: white; color: #333333; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 20px;"><span style="font-size: medium;"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';">ขอบคุณ </span></span></b><a href="http://www.bedo.or.th/">http://www.bedo.or.th</a><br />
<div>
<br /></div>
<br />
<div>
<table cellpadding="0" cellspacing="0" class="tb-content" style="background-color: white; border-bottom-color: rgb(204, 204, 204); border-bottom-style: solid; border-left-color: rgb(204, 204, 204); border-left-style: solid; border-width: 0px 0px 1px 1px; color: black; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, sans-serif; font-size: 12px; width: 639px;"><tbody>
<tr><td class="label" style="background-color: #ececec; background-position: initial initial; background-repeat: initial initial; border-bottom-color: rgb(238, 238, 238); border-bottom-style: solid; border-bottom-width: 0px; border-right-color: rgb(204, 204, 204); border-right-style: solid; border-right-width: 1px; border-top-color: rgb(204, 204, 204); border-top-style: solid; border-top-width: 1px; font-weight: bold; padding: 5px; text-align: right; vertical-align: top; width: 150px;"><br /></td><td style="border-bottom-color: rgb(238, 238, 238); border-bottom-style: solid; border-bottom-width: 0px; border-right-color: rgb(204, 204, 204); border-right-style: solid; border-right-width: 1px; border-top-color: rgb(204, 204, 204); border-top-style: solid; border-top-width: 1px; padding: 5px; vertical-align: top;"><br /></td></tr>
</tbody></table>
</div>
http://food-plants.blogspot.com/http://www.blogger.com/profile/04223739952562743625noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6514530156973123374.post-26307682245421686862013-05-18T10:35:00.000+07:002013-06-11T12:06:19.919+07:00ตะไคร้ (เชื่อว่าป้องกันมะเร็งลำใส้) สมุนไพรพื้นบ้าน ที่ไม่ควรมองข้าม <br />
ตะไคร้ สมุนไพรพื้นบ้าน ที่ไม่ควรมองข้าม (เชื่อกันว่าป้องกันมะเร็งลำใส้ได้)<br />
<br />
ชื่อสามัญ : Lemon Grass, Lapine<br />
<br />
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cymbopogon citrates (DC. Ex Nees) Stapf.<br />
<br />
วงศ์ : GRAMINAE<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi_aqo75lagEpm3wJlNYxALAbbidX1ntiqGEMsZnip7sD5nJeESALzZUqqubUZ3cl0fy9N94giCMUivHK4hPdgiTxxdM1CIN8sVvickWXCvUys5ryhcN2l-1T_Hde_SdlFYf7WJ50i74TI/s1600/%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%89.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="212" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi_aqo75lagEpm3wJlNYxALAbbidX1ntiqGEMsZnip7sD5nJeESALzZUqqubUZ3cl0fy9N94giCMUivHK4hPdgiTxxdM1CIN8sVvickWXCvUys5ryhcN2l-1T_Hde_SdlFYf7WJ50i74TI/s320/%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%89.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
<br />
ลักษณะทั่วไป : ต้น : เป็นพรรณไม้ล้มลุก จะขึ้นเป็นกอใหญ่ สูงประมาณ 1 เมตร ลักษณะของลำต้นเป็นรูปทรงกระบอก แข็ง เกลี้ยง และตามปล้องมักมีไขปกคลุมอยู่ เป็นพรรณไม้ที่มีอายุหลายปี<br />
<br />
ใบ : ใบเดี่ยว แตกใบออกเป็นกอ รูปขอบขนาน ปลายใบแหลม และผิวใบจะสากมือทั้งสองด้าน เส้นกลางใบแข็ง ขอบใบจะมีขนขึ้นอยู่เล็กน้อย มีสีเขียวกว้างประมาณ 2 ซม. ยาว 2-3 ฟุต<br />
<br />
ดอก : ออกเป็นช่อกระจาย ช่อดอกย่อยมีก้านออกเป็นคู่ ๆ ในแต่ละคู่จะมีใบประดับรองรับ<br />
<br />
การขยายพันธุ์ : เป็นไม้กลางแจ้ง ขยายพันธุ์ด้วยการแยกกอ หรือหัวออกมาปลูกเป็นต้นใหม่<br />
<br />
ส่วนที่ใช้ : ทั้งต้น หัว ใบ ราก และต้น<br />
<br />
<br />
สรรพคุณ :<br />
<br />
ทั้งต้น<br />
1. รสฉุน สุมขุม แก้หวัด ปวดศีรษะ ไอ<br />
2. แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด ขับลมในลำไส้ บำรุงไฟธาตุ<br />
3. ทำให้เจริญอาหาร แก้ปวดกระเพาะอาหาร แก้ท้องเสีย<br />
4. แก้ปวดข้อ ปวดเมื่อย ฟกช้ำจากหกล้ม ขาบวมน้ำ<br />
5. แก้โรคทางเดินปัสสาวะ นิ่ว ขับปัสสาวะ ประจำเดือนมาผิดปกติ<br />
6. แก้ปัสสาวะเป็นเลือด แก้โรคหืด<br />
<br />
ราก<br />
1. แก้เสียดแน่น แสบบริเวณหน้าอก ปวดกระเพาะอาหารและขับปัสสาวะ<br />
2. บำรุงไฟธาตุ ขับปัสสาวะ แก้นิ่ว แก้ปัสสาวะพิการ<br />
3. รักษาเกลื้อน แก้อาการขัดเบา<br />
<br />
ใบสด - มีสรรพคุณช่วยลดความดันโลหิตสูง แก้ไข้<br />
<br />
ต้น - มีสรรพคุณเป็นยาขับลม แก้ผมแตกปลาย เป็นยาช่วยให้ลมเบ่งขณะคลอดลูก ใช้ดับกลิ่นคาว แก้เบื่ออาหาร บำรุงไฟธาตุให้เจริญ แก้โรคทางเดินปัสสาวะ นิ่วปัสสาวะพิการ แก้หนองใน<br />
<br />
วิธีและปริมาณที่ใช้ :<br />
<br />
แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด ปวดท้อง<br />
-ใช้ลำต้นแก่ๆ ทุบพอแหลก ประมาณ 1 กำมือ (ประมาณ 40- 60 กรัม ) ต้มเอาน้ำดื่ม หรือประกอบเป็นอาหาร<br />
- นำตะไคร้ทั้งต้นรวมทั้งรากจำนวน 5 ต้น สับเป็นท่อน ต้มกับเกลือ ต้ม 3 ส่วน ให้เหลือ 1 ส่วน รับประทานครั้งละ 1 ถ้วยแก้ว รับประทาน 3 วัน จะหายปวดท้อง<br />
<br />
แก้อาการขัดเบา ผู้ที่ปัสสาวะขัดไม่คล่อง (แต่ต้องไม่มีอาการบวม)<br />
- ใช้ต้นแก่สด วันละ 1 กำมือ (ประมาณ 40- 60 กรัม , แห้งหนัก 20- 30 กรัม ) ต้มกับน้ำดื่มครั้งละ 1 ถ้วยชา (75 มิลลิลิตร) วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร<br />
- ใช้เหง้าแก่ที่อยู่ใต้ดิน ฝานเป็นแว่นบางๆ คั่วไปอ่อนๆ พอเหลือง ชงเป็นชาดื่ม ครั้งละ 1 ถ้วยชา วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร<br />
<br />
คุณค่าทางด้านอาหาร :<br />
ตะไคร้ยังมีประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะช่วยเพิ่มเกลือแร่ที่จำเป็นหลายชนิด เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก และยังมีวิตามินเอ รวมอยู่ด้วย<br />
<br />
สารเคมี :<br />
ใบ - มีน้ำมันหอมระเหย 0.4-0.8% ประกอบด้วย Citral 75-85 % Citronellal, Geraniol Methylheptenone เล็กน้อย , Eugenol และ Methylheptenol<br />
ราก - มี อัลคาลอยด์ 0.3%<br />
<br />
<br />
ขอบคุณ <a href="http://www.rspg.or.th/">http://www.rspg.or.th</a><br />
<br />http://food-plants.blogspot.com/http://www.blogger.com/profile/04223739952562743625noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6514530156973123374.post-24454702610375422472013-05-14T14:37:00.000+07:002013-07-04T11:07:41.217+07:00ถั่วพู บำรุงสมอง ป้องกันมะเร็งลำใส้ <div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh4OHk0kp8QPNICaSTWPUwj21GYuCAUr4ovpreH4sl1u7frRN7LiRvkOI-0XMQD9mukBy-s02kbWBO5IGyIGqs_seTGjlpHQj7QU8zGV-ooiML_Be5sE0r72bLiTSycvh6Z8uXtCRBAtUs/s1600/%E0%B8%96%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%9E%E0%B8%B9_1.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh4OHk0kp8QPNICaSTWPUwj21GYuCAUr4ovpreH4sl1u7frRN7LiRvkOI-0XMQD9mukBy-s02kbWBO5IGyIGqs_seTGjlpHQj7QU8zGV-ooiML_Be5sE0r72bLiTSycvh6Z8uXtCRBAtUs/s1600/%E0%B8%96%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%9E%E0%B8%B9_1.png" /></a></div>
<br />
<br />
ถั่วพู (Winged bean)<br />
<br />
พืชตระกูลถั่ว(Leguminosae) ชื่อวิทยาศาสตร์ Psophocarpus tetragonolobus(Linn) DC. เป็นไม้เลื้อยประเภท climbing perennial ส่วนเหนือดินเป็นพืชล้มลุก แต่ส่วนใต้ดินจะอยู่ได้นานข้ามฤดูกาล ใบเป็นใบย่อย 3 ใบ มีรูปร่างหลายแบบ เช่น รูปคล้ายสามเหลี่ยม (deltoid) รูปไข่ (ovate) รูปใบหอก (lanceolate) ลำต้นมีสีเขียวและเขียวปนม่วง ดอกเป็นดอกสมบูรณ์เพศ ลักษณะเป็นช่อ (inflorescence) ตั้งตรงแบบ raceme ช่อหนึ่ง ๆ ประกอบด้วย 3-12 ดอก แต่พบดอกที่บาน 2-4 ดอก และติดฝักเพียง1-2 ฝักเท่านั้น ฝักมีความยาวตั้งแต่ 11.2-29.9 เซนติเมตร รูปร่างฝักเป็นฝักสี่เหลี่ยมมีปีก 4 ปีก เมื่อตัดตามขวางแบ่งได้เป็น 4 แบบคือ rectangular, semi flat, flat on sides และ flat on suture สีฝักมีทั้งสี เขียว ม่วง และเหลือง ผิวฝักแบ่งได้เป็น2 แบบคือ ผิวเรียบและผิวหยาบมาก ในฝักหนึ่ง ๆ มีเมล็ดตั้งแต่ 8-20 เมล็ด เมล็ดมีสีตั้งแต่ขาว เหลือง ครีม น้ำตาล ดำและลวดลายต่าง ๆ เมล็ดมีขนาดต่าง ๆ กัน โดยมีน้ำหนัก 100 เมล็ดอยู่ในช่วง11-45.6 กรัม ส่วนใหญ่เมล็ดมีสีน้ำตาล รากของถั่วพู เป็นรากที่สะสมอาหารอยู่ใต้ดิน มีปมซึ่งเป็นที่อยู่ของเชื้อไรโซเบียมจำนวนมาก<br />
<br />
การบริโภค ฝักอ่อน นิยมบริโภคเป็นผักสดจิ้มน้ำพริก หรือนำไปปรุงอาหาร ผัด ลวก แกง ยำถั่วพู<br />
คุณค่าทางอาหาร ในส่วนที่บริโภคได้ 100 กรัม ประกอบด้วยแคลเซียม 33 มิลลิกรัม เหล็ก 3.7 มิลลิกรัม วิตามินเอ 567 หน่วยสากล วิตามินซี 21 มิลลิกรัม<br />
ปริมาณโปรตีน ใบ 5.7 เปอร์เซ็นต์ ดอก 5.6 เปอร์เซ็นต์ ฝัก1.9-3.0 เปอร์เซ็นต์ เมล็ดแก่ 29.8-37.4 เปอร์เซ็นต์ และหัว 10.9 เปอร์เซ็นต์<br />
เมล็ดแก่ มีคุณค่าทางอาหารใกล้เคียงกับถั่วเหลือง ช่วยเสริมวิตามินเอให้กับร่างกาย นอกจากนี้ในเมล็ดแก่ยังมีน้ำมัน 15.0-18.3 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักสด ซึ่งประกอบด้วย unsaturated fatty acid, alpha และ beta tocopherol ในปริมาณสูง<br />
<br />
สรรพคุณ และ ประโยชน์ของถั่วพู<br />
<br />
<span style="background-color: yellow;"><br /></span>
<span style="background-color: yellow;">- หัวใช้บำรุงร่างกาย แก้อ่อนเพลีย แก้ร้อนใน กระหายน้ำ แก้ไข้กาฬ</span><br />
<span style="background-color: yellow;">- ราก แก้โรคลมพิษกำเริบ ดีฟุ่ง ทำให้คลั่งเพ้อ ปวดท้อง ถั่วพูใช้รักษาสิวและโรคผิวหนังบางชนิด</span><br />
<span style="background-color: yellow;">- ตำรายาโบราณว่า ให้นำเมล็ดถั่วพลูมาต้มโดยคัดเอาเฉพาะเมล็ดแก่สีน้ำตาลเข้มจะรับประทานเมล็ดที่ต้มสุกเลยก็ได้ หรือนำเมล็ดที่ต้มสุกมาบดให้ละเอียดผสมน้ำสุกดื่มก่อนอาหาร 3 เวลา จะช่วยให้สุขภาพแข็งแรงเพิ่มกำลังวังชา</span><br />
<div>
<br /></div>
<br />
<br />
ประโยชน์ของถั่วพู<br />
<br />
การกินถั่วพูก็ยังมีกากใยอาหารมากทำให้ระบบขับถ่ายของเราเป็นไปอย่างปกติ ท้องไม่ผูก นอกจากนั้นแล้วหัวของถั่วพูก็สามารถนำไปตากแห้งแล้วคั่วไฟให้เหลืองนำมาชงเป็นน้ำดื่มชูกำลังสำหรับคนป่วยหรืออ่อนเพลียง่ายได้อีกด้วย<br />
<br />
<br />
คุณค่าทางอาหารของถั่วพู<br />
<br />
ถั่วพู 100 กรัม ให้พลังงาน 19 กิโลแคลอรี ประกอบด้วย น้ำ 93.8 กรัม คาร์โบไฮเดรต 2.4 กรัม โปรตีน 2.1 กรัม ไขมัน 0.1 กรัม เส้นใย 1.2 กรัม แคลเซียม 5 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 43 มิลลิกรัม เหล็ก 0.5 มิลลิกรัม ไนอะซิน 0.8 มิลลิกรัม วิตามินบี1 0.35 มิลลิกรัม วิตามินบี2 0.14 มิลลิกรัม วิตามินซี 32 มิลลิกรัม<br />
<br />
<span style="background-color: yellow;">ในส่วนตัวเชื่อว่า ถัวพู สามารถช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้ และยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลำใส้ได้อีกด้วย </span><br />
<br />
ขอขอบคุณข้อมูลจาก the-than และ http://www.rdi.kps.ku.ac.thhttp://food-plants.blogspot.com/http://www.blogger.com/profile/04223739952562743625noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6514530156973123374.post-90574171696085612922013-04-10T12:30:00.000+07:002013-04-10T12:39:42.144+07:00เม็ดบัว หนึ่งในสุดยอดธัญพืช <b style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">เม็ดบัว</b><span style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"> หนึ่งในสุดยอด</span><b style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">ธัญพืช</b><span style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"> เพื่อน ๆชักสงสัยแล้วละซิว่า</span><b style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">เม็ดบัว</b><span style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">มีดีอย่างไร มีประโยชน์อะไรบ้าง ถ้า อยากรู้เราไปดูกันเลยดีกว่า</span><br />
<span style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"> </span><b style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">เม็ดบัว </b><span style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">ภาษาจีนเรียกว่า</span><b style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"> เก่าซิก ,หน่อยซิก หรือ หน่อยผ่องจื้อ</b><span style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">เป็น</span><b style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">ธัญพืช</b><span style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">ที่ให้คุณค่าทางอาหารสูง ทานได้ทั้งสดและแห้ง มีโปรตีนเป็นส่วนประกอบมากกว่าข้าว 3 เท่าเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งรวมของวิตามินอีกหลายชนิด เช่น วิตามินเอ ,วิตามินซี, วิตามินอี , เกลือแร่ และฟอสฟอรัส วิตามินเหล่านี้มีส่วนช่วยในการบำรุงประสาท บำรุงไต บำรุงสมอง</span><br />
<span style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"><br /></span>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh2BTuJF_5lQ5ZpV5piPHA8kIVcQ7ju1qykDBPlHTlBLcwH0M64Ad1z4G8iOp0dsHabe-VtJgwyGaP7ahbOL479aDtmORuKYIQ7Vsbymz2C6eSTRqq9UR0EUyqf7hWXbEPt537NguEwifE/s1600/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%A7.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="168" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh2BTuJF_5lQ5ZpV5piPHA8kIVcQ7ju1qykDBPlHTlBLcwH0M64Ad1z4G8iOp0dsHabe-VtJgwyGaP7ahbOL479aDtmORuKYIQ7Vsbymz2C6eSTRqq9UR0EUyqf7hWXbEPt537NguEwifE/s320/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%A7.jpg" width="320" /></a></div>
<span style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"><br /></span>
<br />
<span style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">นอกจากนี้</span><b style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">เม็ดบัว</b><span style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">ยังมีสรรพคุณทางยาในการรักษา อาการท้องร่วง ,บิดเรื้อรัง ,สตรีประจำเดือนมามาก , น้ำอสุจิเคลื่อน(น้ำกามออกไม่รู้ตัว) ส่วน</span><b style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">ดีบัว</b><span style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">(ต้นอ่อนที่อยู่ในเม็ดบัวมีรสขม) ยังช่วยลดความดันโลหิตสูง ช่วยเพิ่มแรงบีบตัวของหัวใจ , ช่วยขยายหลอดเลือด ,แก้กระหาย, อาเจียนเป็นเลือด เป็นต้น </span><br />
<span style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">จากคุณสมบัติที่ดีเลิศของ</span><b style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"> เม็ดบัว</b><span style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"> คนสมัยก่อนจึงนิยมนำ </span><b style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">เม็ดบัว</b><span style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"> มาทำอาหาร ทั้งคาวและหวาน เช่น ข้าวผัดเม็ดบัว , สังขยาเม็ดบัว , </span><b style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">เม็ดบัว</b><span style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">เชื่อม ,ขนมหม้อแกง</span><b style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">เม็ดบัว</b><span style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"> , ใส่ในเต้าฮวย เป็นต้น ถ้านำ</span><b style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">เม็ดบัว</b><span style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">มาปรุงอาหารร่วมกับลำไยแห้งจะทำให้สรรพคุณทางยาของ</span><b style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">เม็ดบัว</b><span style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">เพิ่มมากขึ้น</span><br />
<br style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" />
<span style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">- นึ่ง</span><b style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">เม็ดบัว</b><span style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">จนสุก นำไปตากแห้ง แล้วนำมาบดเป็นผง ทานครั้งละ 15 กรัม วันละ 3 ครั้ง เพื่อรักษาอาการท้องเสียเรื้อรัง</span><br />
<span style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">- ดื่มน้ำชาที่ต้มจากดีบัวและเก๊กฮวย ช่วยบำรุงสายตา บำรุงสุขภาพ และลดความดันโลหิต</span><br />
<span style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">- นำ</span><b style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">เม็ดบัว</b><span style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"> ลำไยแห้ง น้ำตาลกรวด และกุ้ยฮวย ตุ๋นรวมกันด้วยไฟอ่อนๆ ทานบำรุงร่างกาย หัวใจ เลือด และม้าม</span><br />
<span style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">- เนื้อเป็ดนึ่งกับเนื้อขาหน้าหมู ดอกบัวสด ลิ้นจี่ แฮมสุก ทานเป็นอาหารบำรุงร่างกาย ช่วยให้เจริญอาหาร</span><br />
<br style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" />
<b style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">ข้อควรระวัง</b><br />
<span style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">ผู้ที่มีอาการท้องผูก ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ไม่ควรทาน</span><br />
<span style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">ไม่ควรปรุงอาหารที่มี</span><b style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">เม็ดบัว</b><span style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">ในภาชนะที่ทำจากเหล็ก เพราะจะทำให้</span><b style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">เม็ดบัว</b><span style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">กลายเป็นสีดำ</span><br />
<br />
<div style="background-color: white; color: blue; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">
<b><span style="color: black;">ของดีๆ รู้แล้ว เพื่อน ๆ ก็ลองหันมาทานเม็ดบัวกันเถอะ เพื่อจะได้มีสุขภาพที่ดีห่างไกลจากโรคภัย</span> </b><br />
<a href="http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=6514530156973123374" name="more"></a><b>ว่าแล้วแถม เมนูขนมหวานเรียกน้ำย่อยกันหน่อย</b></div>
<div class="separator" style="background-color: white; clear: both; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px; text-align: center;">
</div>
<br style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" />
<b style="background-color: white; color: #274e13; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">วิธีทำขนมเม็ดบัวเปียกมะพร้าวอ่อน</b><br />
<br style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" />
<span style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">ให้แช่</span><b style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">เม็ดบัว</b><span style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">ไว้ในน้ำสะอาดข้ามคืน จากนั้นคัด</span><b style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">เม็ดบัว</b><span style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">ที่เสียออก เลือกเฉพาะ</span><b style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">เม็ดบัว</b><span style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"> ที่ดีแล้วนำไปล้างพักให้สะเด็ดน้ำ ถ้าไม่ชอบขม ให้ผ่ากลางดึงดีบัวออก</span><br />
<span style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">- ต้มน้ำลอยดอกมะลิสด แล้วใส่</span><b style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">เม็ดบัว</b><span style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">ลงไป เมื่อ</span><b style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">เม็ดบัว</b><span style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">สุกได้ที่แล้ว ให้ละลายแป้งมันลงไปคนให้ข้น แล้วใส่น้ำตาลทรายลงไป ตามด้วยเนื้อมะพร้าวอ่อน สุกแล้วปิดไฟ พักไว้</span><br />
<span style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">- มาทำกะทิราดขนมกันก่อน นำกะทิมาต้มจนสุกแล้วใส่เกลือป่นลงไป ปิดไฟ</span><br />
<span style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">- ตัก</span><b style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">เม็ดบัว</b><span style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">ใส่ชามนำกะทิมาราดขนม</span><b style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">เม็ดบัว</b><span style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">เปียกมะพร้าวอ่อน</span><br />
<span style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"><br /></span>http://food-plants.blogspot.com/http://www.blogger.com/profile/04223739952562743625noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6514530156973123374.post-85645841048533437272013-02-10T21:55:00.002+07:002013-02-10T21:55:50.532+07:00ดอกแค ยังช่วยดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้อาการท้องร่วง<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjoq5z7O-Ow-hGT42c4Bq9gRyyjGsGdYyu_GZ-G4ds8VeIs-WFbRpL6HkyxvzBuM9g_GICawQgpcFyd7Jmkm3E09vp-L19Xtkq5tLEhO5s0YfeIux0_RbR1GyiWlZq_VzKi3Pzcex-umXM/s1600/%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%84.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="221" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjoq5z7O-Ow-hGT42c4Bq9gRyyjGsGdYyu_GZ-G4ds8VeIs-WFbRpL6HkyxvzBuM9g_GICawQgpcFyd7Jmkm3E09vp-L19Xtkq5tLEhO5s0YfeIux0_RbR1GyiWlZq_VzKi3Pzcex-umXM/s400/%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%84.jpg" width="400" /></a></div>
<br />
<br />
<br />
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Sesbania grandiflora (L.) Desv.<br />
<br />
ชื่อสามัญ : Agasta, Sesban, Vegetable humming bird<br />
<br />
วงศ์ : Leguminosae - Papilionoideae<br />
<br />
ชื่ออื่น : แค แคบ้านดอกแดง แคขาว (ภาคกลาง) แคแดง (เชียงใหม่)<br />
<br />
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ต้นขนาดเล็ก สูง 3-6 เมตร แตกกิ่งก้านสาขามาก เปลือกต้นสีน้ำตาลปนเทา ขรุขระ แตกเป็นสะเก็ด ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเรียงสลับ ใบย่อยรูปรีขอบขนาน กว้าง 1-1.5 ซม. ยาว 3-4 ซม. ปลายใบและโคนใบมน ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบ สีเขียว ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบ 2-4 ดอก ดอกสีขาวหรือแดง มีกลิ่นหอม ก้านเกสรเพศผู้สีขาว 60 อัน ผล เป็นฝัก ยาว 8-15 ซม. ฝักแก่แตกเป็น 2 ซีก เมล็ดกลมแป้น สีน้ำตาล มีหลายเมล็ด<br />
ส่วนที่ใช้ : เปลือกต้น ดอก ใบสด ยอดอ่อน<br />
<br />
<span style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif', CordiaUPC; font-size: small;"><strong><span style="color: green;">ประโยชน์ตำรายาไทย</span></strong></span><br style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif', CordiaUPC;" /><span style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif', CordiaUPC; font-size: small;"><strong><span style="color: #ff6600;">ดอกแค</span></strong> สามารถนำไปปรุงอาหารได้หลายอย่าง ใส่แกงส้ม ต้มจิ้มน้ำพริก ดอกแคและยอดอ่อน <span style="color: #3366ff;"><strong>ยังช่วยดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้อาการท้องร่วง ท้องเดิน เปลือกลำต้นเมื่อนำมาต้นน้ำให้เดือด 30 นาที ใช้น้ำต้มชะล้าง<br /></strong><span style="color: green;"><strong>ข้อแนะนำ<br /></strong></span></span><span style="color: black; font-size: small;">สำหรับดอกแค ก่อนนำไปปรุงอาหารควรแกะไส้ในออกก่อน มิฉะนั้นจะมีรสขม รับประทานไม่อร่อย</span></span><br />
<span style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif', CordiaUPC; font-size: small;"><span style="color: black; font-size: small;"><br /></span></span>
สรรพคุณ :<br />
<br />
เปลือก <br />
- ต้มหรือฝนรับประทาน แก้โรคบิดมีตัว<br />
- แก้มูกเลือด แก้ท้องเดิน ท้องร่วง คุมธาตุ<br />
- ภายนอก ใช้ชะล้างบาดแผล<br />
<br />
ดอก,ใบ - รับประทานแก้ไข้เปลี่ยนอากาศ เปลี่ยนฤดู (แก้ไข้หัวลม) <br />
ชาวอินเดีย ใช้สูดน้ำที่คั้นได้จากดอกหรือใบแคเข้าจมูกรักษาโรค ริดสีดวงในจมูก และทำให้มีน้ำมูกออกมา แก้ปวดและหนักศีรษะ ลดความร้อน ลดไข้<br />
<br />
ใบสด<br />
- รับประทานใบแคทำให้ระบาย<br />
- ใบแค ตำละเอียด พอกแก้ช้ำชอก<br />
<br />
วิธีและปริมาณที่ใช้ :<br />
<br />
แก้มูกเลือด บิดมีตัว แก้ท้องเดิน ท้องร่วง คุมธาตุ<br />
ใช้เปลือกต้นปิ้งไฟ 1 ส่วน ต้มกับน้ำหรือน้ำปูนใส 10 ส่วน รับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนแกง<br />
<br />
แก้ไข้ ลดความร้อน แก้ไข้หัวลม (หรือไข้อากาศเปลี่ยน)<br />
- ใบสด ต้มกับน้ำรับประทานลดไข้ ใช้ยอดอ่อนจำนวนไม่จำกัด ลวกจิ้มกับน้ำพริก รับประทานแก้ปวดศีรษะข้างเดียว<br />
- ใช้ดอกที่โตเต็มที่ล้างน้ำ ต้มกับหมูทำบะช่อ 1 ชาม รับประทาน 1 มื้อ รับประทานติดต่อกัน 3-7 วัน จะได้ผล<br />
http://food-plants.blogspot.com/http://www.blogger.com/profile/04223739952562743625noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6514530156973123374.post-76842869643892118152012-12-16T11:15:00.001+07:002013-05-26T20:14:58.930+07:00 ผักบุ้ง ผักบุ้งแดง ผักบุ้งนา แก้ อัลไซเมอร์ บำรุงสายตาป้องกัน อัลไซเมอร์ ถอนพิษ บำรุงสายตา แก้ผิดสำแดง แก้โรคตา แก้ตกขาวในสตรี ล้างสารพิษฟอร์มาลีน<br />
<br />
ชื่อเรียนแต่ละท้องถิ่น<br />
<br />
ผักทอดยอด (กรุงเทพฯ) ผักบุ้งไทย (กลาง) ผักบุ้ง (ทั่วไป) ผักบุ้งแดง ผักบุ้งไทย<br />
ผักบุ้งนา กำจร(ฉานขแม่ฮ่องสอน) ผักบุ้ง ผักบุ้งแดง ผักบุ้งนา กำจร โหนเดาะ<br />
<div>
<br /></div>
<br />
<br />
คนไทยมักจะไม่รู้ของดีที่เรามี เคยสงสัยไหมครับว่าทำไมคนสมัยก่อนต้องเอาผักบุ้งมาจิ้มน้ำพริก ทำไมไม่เอาคะน้า จริงๆแล้วคนสมัยก่อนเค้าก็ลองผิดลองถูกเหมือนกัน แต่เค้าก็คนพบสรรพคุณของผักบุ้งเช่นกัน จึงได้สืบทอดให้ลูกหลานต่อๆกันมา แต่ด้วยการใช้ชีวิตของคนไทยเปลี่ยนไป ไม่ค่อยกินน้ำพริก ส้มตำเหมือนเมื่อก่อน และผักก็มีสารเคมีมากเหลือเกิน คนเราจึงกินผักน้อยลง วันนี้จะมาเล่าเรื่องผักบุ้ง ให้ฟัง กำละ 3 - 5 บาท แต่ป้องกันโรคที่จะต้องใช้ยารักษาเป็นแสนๆ<br />
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgqzKizXkCQ0lCI_oyJkbPMw00VvGel8MgtDz5e9yp1FI9NWu93DxRH6Cs1ss4p3wilbyCg1AgM_u4_HBThO92dxrfeWXUNQbsSzzfiRrwiT6we91GhSc-CSHKLbHaLbCXSfHGr4eDwIss/s1600/%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%87.JPG" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="300" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgqzKizXkCQ0lCI_oyJkbPMw00VvGel8MgtDz5e9yp1FI9NWu93DxRH6Cs1ss4p3wilbyCg1AgM_u4_HBThO92dxrfeWXUNQbsSzzfiRrwiT6we91GhSc-CSHKLbHaLbCXSfHGr4eDwIss/s400/%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%87.JPG" width="400" /></a></div>
<br />
<br />
ชื่ออื่นๆ :<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>ผักทอดยอด ผักบุ้ง ผักบุ้งแดง ผักบุ้งนา กำจร โหนเดาะ<br />
ชื่อสามัญ :<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>Swamp cabbge, Swamp cabbage white stem, Water morning glory<br />
ชื่อวิทยาศาสตร์ :<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>Ipomoea aquatica Forsk.<br />
วงศ์ :<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>Convolvulaceae<br />
ถิ่นกำเนิด :<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>ประเทศไทย<br />
ลักษณะทั่วไป :<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>ไม้ล้มลุกมีข้อโปร่งเลื้อยแผ่ไปตามพื้นหรือผิวน้ำ<br />
การขยายพันธุ์ :<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>เพาะเมล็ด ลำต้นแก่มีรากติด<br />
<br />
<span style="color: #38761d;">**************************************************************************</span><br />
<span style="background-color: yellow;"> ผมยังหาเอกสารยืนยันยังไม่ได้นะครับ แต่แพทย์แผนไทยบางท่านก็บอกว่าจริง</span><br />
<span style="background-color: yellow;">เพิ่มเติม จากที่ดูรายการ TV มาเค้าบอกว่า ผักบุ้งแดง หรือผักบุ้งไทย สามารถช่วยแก้ปัญหา อัลไซเมอร์ได้ด้วย โดยจะเน้นไปที่การป้องกัน โรค อัลไซเมอร์นี้สามารถป้องกันโดยการกินได้เช่น ผัก ผลไม้สีแดงทุกชนิดและ พืชกินหัว เช่น กระเจียบมอญ , แก้วมังกร , มันแกว เป็นต้น </span><br />
<b><br /></b>
<b><u style="background-color: yellow;">และยังมีบางแห่งเชื่อกันว่า ผักบุ้ง สามารถขับสารพิษ <span style="color: #222222; font-family: arial, sans-serif; font-size: x-small;"><span style="line-height: 16px;"> ล้างสารพิษฟอร์มาลีน โลหะหนัก</span></span></u></b><br />
<br />
<span style="background-color: yellow;">แพทย์แผนไทยได้นำวิชาจาก อ.สุทธิวัสส์ คำภา ไปทำการผลิตชาผักบุ้งแดง เพื่อล้างสารพิษ จนผ่านการทดสอบจาก อ.สุทธิวัสส์ คำภา ว่ามีผลบำบัดผู้มีสารพิษตกค้างได้จริง </span><br />
ผลิตจาก ผักบุ้งแดงตากแห้ง และ อบด้วยความร้อน, น้ำตาลทรายแดง<br />
หมายเหตุ : ชาผักบุ้งล้างพิษ ล้างความร้อน ทำให้ร่างกายเย็น หากดื่มแล้ว รู้สึกว่าในกายเย็นเกินไป ขี้หนาว ขอให้ดื่มน้ำขิงตาม<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
ในทางโภชนาการผักบุ้งยังมีสารสำคัญอื่นๆ นอกเหนือจากวิตามินเอที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย อาทิ แคลเซียม วิตามินซี เส้นใยอาหาร คาร์โบไฮเดรต เหล็ก ฟอสฟอรัส มากน้อยแตกต่างกันไป<br />
<br />
ใน ทางการแพทย์แผนไทย ระบุว่า ผักบุ้งมีรสเย็น มีสรรพคุณถอนพิษสำแดงต่างๆ หรือช่วยในการขับสารพิษอออกจากร่างกายได้ หมอแผนไทยบางท่านแนะให้นำมาใช้ในการขับพิษสำหรับเกษตรกรที่ใช้สารเคมีทางการ เกษตร ซึ่งจะได้รับสารพิษอันตราย หรือใช้ในการบำบัดรักษาผู้ป่วยติดยาเสพติด ในกรณีนี้อาจใช้กับตัวยาอื่นๆ ตามตำรับของหมอแต่ละคนเพื่อช่วยขับพิษและฤทธิ์ของยาเสพติด หรือในกรณีที่กินสารพิษ กินเห็ดพิษ ร่างกายได้รับสารตะกั่ว สารหนู โดยแนะให้เอาผักบุ้งแดงต้มเอาน้ำดื่มเป็นประจำ<br />
<br />
สรรพคุณ ของผักบุ้งช่วยในการขับสารพิษออกจากร่างกาย โดยเฉพาะผักบุ้งแดง ที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยกินกันเพราะมีรสเฝื่อน จึงนิยมนำไปกินกับส้มตำมะละกอ คนในเมืองที่ชีวิตต้องเผชิญกับมลพิษในอากาศ อาหาร ลองเอาผักบุ้งแดงมาทำเป็นชาไว้ดื่มเพื่อช่วยขับสารพิษจากร่างกายก็น่าจะ เหมาะไม่น้อย หรือใช้ผักบุ้งต้มอาบ หรืออบร่วมกับสมุนไพรตัวๆ ก็จะช่วยขับพิษออกทางรูขุมขน<br />
<br />
ส่วนกรณีที่ใครท้องผูกเป็นประจำขับถ่ายไม่ออก แนะให้กินผักบุ้งสดหรือผักบุ้งลวก จิ้มกับน้ำพริก ในมื้อเย็น ส่วนน้ำต้มผักก็สามารถใช้ดื่มได้ ผักบุ้งจะช่วยให้อุจจาระนิ่ม และช่วยขับของเสียพร้อมดูดซับเอาของเสียนั้นออกมาพร้อมในกระบวนการขับถ่าย ด้วย กินผักบุ้งเป็นประจำจะช่วยปัดกวาดทำความสะอาดเอาของเสียที่ตกค้างในลำไส้ออก มาด้วย ช่วยให้การดูดซึมอาหารดีขึ้น<br />
<br />
<span style="background-color: #0b5394; color: white;">สรรพคุณส่วนต่างๆ ของผักบุ้ง คือ ราก ใช้ถอนพิษ แก้ผิดสำแดง แก้โรคตา แก้ตกขาวในสตรี</span><br />
<br />
<span style="background-color: yellow;"> แก้ปวดฟันเนื่องจากฟันเป็นรู แก้ไอเรื้อรัง แก้เหงื่อออกมาก แก้บวม ถอนพิษ แก้พาเบื่อเมา ถอนพิษยาทั้งปวง แก้ตาฟาง แก้โรคตา ยอดอ่อน ถอนพิษ รักษาริดสีดวงทวาร แก้เด็กเป็นหวัด ใบ แก้พิษขนของบุ้ง รักษาริดสีดวงทวาร ถอนพิษยาเบื่อเมา แก้ตาฟาง แก้พิษฝี ปวด อักเสบ ดอกตูม รักษากลากเกลื้อน ทั้งต้น รักษาตาแดง รักษาตาฟาง รักษาตามัว แก้เบาหวาน แก้ปวดศีรษะ แก้ผิวหนังผื่นคัน แก้กลากเกลื้อน เป็นยาระบาย แก้ไข้ แก้โรคนอนไม่หลับ ถอนพิษ แก้พิษเบื่อเมา</span><br />
<br />
ตัวอย่างในการใช้ผักบุ้งรักษาโรคต่างๆ ได้แก่<br />
<br />
- แก้เลือดกำเดาออกมากผิดปกติ ใช้ต้นสดตำผสมน้ำตาลทรายชงน้ำร้อนดื่ม<br />
<br />
- แก้หนองใน ปัสสาวะเป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือด ใช้ลำต้นตำคั้นนำน้ำมาผสมกับน้ำผึ้งดื่ม<br />
<br />
- แก้ ริดสีดวงทวาร ใช้ต้นสด 1 กิโลกรัม กับน้ำ 1 ลิตร ต้มให้เละ เอากากทิ้งใส่น้ำตาลทรายขาว 120 กรัม เคี่ยวให้ข้นเหนียว ทานครั้งละ 90 กรัม วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น จนหาย<br />
<br />
- แก้แผลมีหนองช้ำ ใช้ต้นสดต้มน้ำให้เดือดนานๆ ทิ้งไว้พออุ่นเอาน้ำล้างแผลวันละครั้ง<br />
<br />
- แก้พิษตะขาบกัด ใช้ต้นสดเติมเกลือ ตำพอกแผล<br />
<br />
- ฟันเป็นรูปวด ใช้รากสด 120 กรัม ผสมน้ำส้มสายชู คั้นนำน้ำอมบ้วนปาก<br />
<div>
<br /></div>
<br />
<span style="color: #38761d;">**************************************************************************</span><br />
<br />
ข้อมูลอื่นๆ :<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><span style="background-color: yellow;"><b>ดอก</b></span> ใช้เป็นยาแก้กลากเกลื้อน ต้นสด ใช้ดับพิษ รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ลดอาการแพ้ อักเสบ ปวด บวม บำรุงสายตา บำรุงเลือด บำรุงกระดูกและฟัน ช่วยรักษาโรคเบาหวาน เป็นยาดับร้อน แก้ปัสสาวะเหลือง<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><b style="background-color: yellow;">ทั้งต้น</b> ใช้แก้ปวดหัว อ่อนเพลีย แก้กลาก เกลื้อน แก้เบาหวาน แก้ตาอักเสบ บำรุงสายตา แก้เหงือกบวม แก้ฟกช้ำ ถอนพิษ<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><span style="background-color: yellow;"><b>ใบ</b></span> ใช้ถอนพิษแมลงสัตว์กัดต่อย นำใบสดตำ คั้นเอาน้ำมาดื่ม จะทำให้อาเจียน ถอนพิษยาเบื่อเมา แก้พิษของฝิ่นและสารหนู มีวิตามินเอสูง เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><b style="background-color: yellow;">ราก</b> ใช้แก้ไอเรื้อรัง และแก้โรคหืด ถอนพิษผิดสำแดง ใช้แก้สตรีมีตกขาวมาก เบาขัด เหงื่อออกมาก ลดอาการบวม<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><br />
ในผักบุ้งขาว 100 กรัม ให้พลังงานต่อร่างกาย 22 กิโลแคลอรี่ และยังประกอบด้วยเส้นใย 101 กรัม แคลเซียม 3 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 22 มิลลิกรัม เหล็ก 3 มิลลิกรัม วิตามินเอ 11,447 IU วิตามินบีหนึ่ง 0.06 มิลลิกรัม วิตามินบีสอง 0.17 มิลลิกรัม ไนอาซิน 1.3 มิลลิกรัม วิตามินซี 14 มิลลิกรัม และมีสารต้านฮีสตามีน<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>ผักบุ้งไทยจะมีสรรพคุณทางยามากกว่าผักบุ้งชนิดอื่น ผักบุ้งจีนจะมีแคลเซี่ยม และเบต้า - แคโรทีน มากกว่าผักบุ้งชนิดอื่น<br />
เอกสารอ้างอิง :<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><br />
1.<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>บทความวิทยุรายการสาระความรู้ทางการเกษตร เรื่อง พืชผักผลไม้ไทยมีคุณค่าเป็นทั้งอาหารและยา ประจำวันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน 2546 ดวงจันทร์ เกรียงสุวรรณ นักวิชาการเกษตร 6 คณะทรัพยากรธรรมชาติ งานศูนย์บริการวิชาการและฝึกอบรม ผ่ายวิจัยและบริการวิชาการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่<br />
2.<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>http://www.yimwhan.com/board/show.php?user=kraimasphimol&topic=74&Cate=1<br />
3.<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>http://www.bloggang.com<br />
4.<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>Tem Samitinand. Thai Plant Names. Revised Edition 2001. 810 p.<br />
รวบรวมโดย :<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>นพพล เกตุประสาท หน่วยอนุรักษ์และใช้ประโยชน์พืชพรรณ ฝ่ายปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จ. นครปฐม<br />
<br />
<br />
<br />http://food-plants.blogspot.com/http://www.blogger.com/profile/04223739952562743625noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-6514530156973123374.post-58816542980460393812012-11-21T16:28:00.000+07:002012-11-21T16:44:55.847+07:00ตำลึง ลดอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง ในกระเพาะอาหาร<span style="color: magenta; font-size: x-small;">ตำลึง สามารถช่วยลดอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง ในกระเพาะอาหาร</span><br />
<span style="color: magenta; font-size: x-small;"><br /></span>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi21vLRYqHS0FK62o6z0IOxOjVIxs-erk4qomwoKy27gXF6dKahLVgi-7sgXiensK1DoxoFauCsL1jinYF6IxTDPByESChaY4EMOB0HNlu1bMYWAMlIVW_wMpcAmfsEMbkd8lIybLbHEy4/s1600/%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B6%E0%B8%87.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi21vLRYqHS0FK62o6z0IOxOjVIxs-erk4qomwoKy27gXF6dKahLVgi-7sgXiensK1DoxoFauCsL1jinYF6IxTDPByESChaY4EMOB0HNlu1bMYWAMlIVW_wMpcAmfsEMbkd8lIybLbHEy4/s1600/%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B6%E0%B8%87.jpg" /></a></div>
<span style="color: magenta; font-size: x-small;"><br /></span>
<span style="color: magenta; font-size: x-small;"><br /></span>
<br />
<h2 style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 20px; margin: 0px 0px 10px; padding: 0px;">
สรรพคุณ / ประโยชน์ของตำลึง</h2>
<br style="color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;" />
<strong style="color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">คุณค่าทางอาหารของตำลึง</strong><br />
<br style="color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;" />
<span style="color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">ยอดของตำลึงใช้ปรุงอาหาร ตำลึง 100 กรัม ประกอบไปด้วยโปรตีน 3.3 กรัม วิตามินบี1 0.17 มิลลิกรัม แคลเซียม 126 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 30 มิลลิกรัม ธาตุเหล็ก 4.6 มิลลิกรัม ไนอาซีน 1.2 มิลลิกรัม วิตามินซี 13 มิลลิกรัม ใยอาหาร 2.2 กรัม และเบต้าแคโรทีนสูงถึง 699.88 ไมโครกรัม มากกว่าฟักทองและมันเทศซึ่งมีเบต้าแคโรทีน 225 และ 175 ไมโครกรัมตามลำดับ ต่อปริมาณ 100 กรัมเหมือนกัน</span><br />
<br style="color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;" />
<br style="color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;" />
<strong style="color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">ประโยชน์ของตำลึง</strong><br />
<br style="color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;" />
<span style="color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">ใบดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้ตัวร้อน ดับพิษฝี แก้ปวดแสบปวดร้อน แก้คัน ดอก แก้คัน เมล็ด ตำผสมน้ำมันมะพร้าวทาแก้หิด เถา ใช้น้ำจากเถาหยดตา แก้ตาฟาง ตาแดง ตาช้ำ ตาแฉะ พิษอักเสบในตา ดับพิษ แก้อักเสบ ชงกับน้ำดื่มแก้วิงเวียนศีรษะ ราก ดับพิษทั้งปวง แก้ตาฝ้า ลดไข้ แก้อาเจียน น้ำยาง ต้น ใบ ราก แก้โรคเบาหวาน หัว ดับพิษทั้งปวง</span><br />
<div style="color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px; text-align: center;">
</div>
<div style="color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<strong style="color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">สรรพคุณของตำลึง</strong><br />
<b><br /></b>
<span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">ตำลึง อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์สูง เช่น สารเบต้าแคโรทีน ที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง และหัวใจขาดเลือด มีแคลเซียมช่วยบำรุงกระดูกและฟัน และยังมีฟอสฟอรัส เหล็ก ไนอาซิน วิตามินซีและอื่นๆ นอกจากนี้ จากการค้นคว้าของสถาบันวิจัยโภชนาการ <strong><span style="color: red;">มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า</span></strong> <span style="color: magenta;">ตำลึงมีเส้นใยอาหารที่สามารถช่วยลดอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง ในกระเพาะอาหาร อีกด้วย</span> สำหรับตำรายาแผนโบราณ ตำลึงถือเป็นยาเย็น ใบช่วยขับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้อาการแพ้ อักเสบ แมลงมีพิษกัดต่อย แก้แสบคัน เจ็บตา ตาแดงและตาแฉะ แก้โรคผิวหนัง และลดน้ำตาลในเลือด</span></span><span style="font-size: x-small;"><br /></span><span style="font-size: small;"></span><span style="font-size: x-small;"><span style="color: green;"><strong>ราก :</strong></span> แก้ดวงตาเป็นฝ้า ลดความอ้วน แก้ไข้ทุกชนิด ดับพิษทั้งปวง ฝนทาภายนอก แก้ฝีต่างๆ แก้ปวดบวม แก้พิษร้อนภายใน แก้พิษแมลงป่องหรือตะขาบต่อย</span><span style="font-size: small;"></span><span style="font-size: x-small;"><span style="color: green;"><strong>ต้น :</strong></span> <span style="color: #3366ff;">กำจัดกลิ่นตัว น้ำจากต้น รักษาเบาหวาน</span></span><span style="font-size: small;"></span><span style="font-size: x-small;"><span style="color: green;"><strong>เปลือกราก :</strong></span> เป็นยาถ่าย ยาระบาย</span><span style="font-size: small;"></span><span style="font-size: x-small;"><span style="color: green;"><strong>เถา :</strong></span> <span style="color: #3366ff;">แก้ฝี ทำให้ฝีสุก แก้ปวดตา แก้โรคตา แก้ตาฝ้า ตาแฉะ แก้พิษอักเสบจากลูกตา ดับพิษร้อน ถอนพิษ เป็นยาโรคผิวหนัง แก้เบาหวาน</span></span><span style="font-size: small;"></span><span style="font-size: x-small;"><span style="color: green;"><strong>ใบ :</strong></span> เป็นยาพอกรักษาผิวหนัง รักษามะเร็งเพลิง แก้ท้องอืด แก้ท้องเฟ้อ แก้จุกเสียด แก้หืด รักษาผื่นคันที่เกิดจากพิษของหมามุ้ย ตำแย บุ้งร่าน ใช้เป็นยาเขียว แก้ไข้ ดับพิษร้อน ถอนพิษทั้งปวง แก้ปวดแสบปวดร้อน ถอนพิษคูน แก้คัน แก้แมลงกัดต่อย แก้ไข้หวัด แก้พิษกาฬ แก้เริม แก้งูสวัด</span><span style="font-size: small;"></span><span style="font-size: x-small;"><span style="color: green;"><strong>ผล :</strong></span> <span style="color: #3366ff;">แก้ฝีแดง</span><br /><br /><span style="color: magenta;"><strong>ทั้งห้า รักษาโรคผิวหนัง รักษาอาการอักเสบของหลอดลม รักษาเบาหวาน</strong></span></span><span style="font-size: x-small;">ใช้ เป็นรักษาอาการแพ้ อักเสบ แมลงกัดต่อย เช่น ยุงกัด ถูกตัวบุ้ง แพ้ละอองข้าว โดยเอาใบสด 1 กำมือ ล้างให้สะอาด ตำให้ละเอียดผสมน้ำเล็กแล้วคั้นน้ำจากใบเอามาทาบริเวณที่มีอาการพอน้ำแห้ง แล้วทาซ้ำบ่อยๆจนกว่าจะหาย</span><br />
<span style="color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">รักษาโรคเบาหวาน : ใช้เถาแก่ ๆ ประมาณ 1 กำมือ ต้มกับน้ำ หรือน้ำคั้นจากผลดิบ ดื่มวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น จะสามารถช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้</span><br />
<br style="color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;" />
<span style="color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ : ควรรับประทานสด ๆ เพราะเอนไซม์ในตำลึงจะย่อยสลายง่ายเมื่อโดนความร้อน</span><br />
<br style="color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;" />
<span style="color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">ลดอาการคัน อาการอักเสบเนื่องจากแมลงกัดต่อยและพืชมีพิษ : นำใบตำลึงสด 2-20 ใบ ตำให้ละเอียดผสมกับน้ำ คั้นเอาน้ำ ทาบริเวณที่เป็นจนกว่าจะหาย (ใช้ได้ดี สำหรับหมดคันไฟ หรือใบตำแย)</span><br />
<br style="color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;" />
<span style="color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">แผลอักเสบ : ใช้ใบหรือรากสด ตำพอกบริเวณที่เป็น</span><br />
<br style="color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;" />
<span style="color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">แก้งูสวัด, เริม : ใช้ใบสด 2 กำมือ ล้างให้สะอาด ผสมพิมเสนหรือดินสอพอง 1 ใน 4 ส่วน พอกหรือทาบริเวณที่เกิดอาการ</span><br />
<br style="color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;" />
<span style="color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">แก้ตาช้ำตาแดง : ตัดเถาเป็นท่อนยาวประมาณ 2 นิ้วนำมาคลึงพอช้ำ แล้วเป่า จะเกิดฟองใช้หยอดตา</span><br />
<br style="color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;" />
<span style="color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">ทำให้ใบหน้าเต่งตึง : นำยอดตำลึง 1/2 ถ้วย น้ำผึ้งแท้ 1/2 ถ้วย นำมาผสม ปั่นให้ละเอียด พอกหน้า ทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออก ทำทุกวันได้จะดีมาก</span><br />
<br style="color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;" />
<span style="color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">- ใบใช้ในการแก้ไข้ ตัวร้อน ตาแดง ตาเจ็บ</span><br />
<span style="color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">- เถานำน้ำต้มจากเถาตำลึงมาหยอดตาแก้ตาแดง ตาฟาง</span><br />
<span style="color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">- ดอกตำลึงช่วยทำให้หายจากอาการคันได้</span><br />
<span style="color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">- รากใช้แก้อาการอาเจียน ตาฝ้า</span><br />
<span style="color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">- น้ำยางจากต้นและใบช่วยลดน้ำตาลในเลือด</span><br />
<br style="color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;" />
<span style="color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">ขอขอบคุณข้อมูลจาก </span><a href="http://www.the-than.com/" rel="nofollow" style="color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px; text-decoration: initial;">the-than</a><span style="color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;"> ขอขอบคุณรูปภาพจากอินเตอร์เน็ต</span>http://food-plants.blogspot.com/http://www.blogger.com/profile/04223739952562743625noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6514530156973123374.post-23397649189086686632012-09-18T10:26:00.000+07:002012-09-18T10:26:27.763+07:00เหงือกปลาหมอ แก้น้ำเหลือเสีย ฝี ต้านมะเร็งเหงือกปลาหมอดอกขาว<br />
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgDbrUnAMIdlnfMRzNHDnkIm1O1fLGgoTIXirWqQfZVdVCY_EbgMbUH9H-KqYs0k8VxwXxhr4LbftGw5h4eaaD2fh5ycN-Cc5ouDO8vnM0ZlLXn5O6oCmbGBJFevIpOb5Nz0loXzzZvx1c/s1600/%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25B7%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25AD.JPG" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="265" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgDbrUnAMIdlnfMRzNHDnkIm1O1fLGgoTIXirWqQfZVdVCY_EbgMbUH9H-KqYs0k8VxwXxhr4LbftGw5h4eaaD2fh5ycN-Cc5ouDO8vnM0ZlLXn5O6oCmbGBJFevIpOb5Nz0loXzzZvx1c/s400/%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25B7%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25AD.JPG" width="400" /></a></div>
<br />
<br />
<br />
ชื่อทั่วไป: เหงือกปลาหมอดอกขาว<br />
ชื่ออื่น: เหงือกปลาหมอ Sea Holly<br />
ชื่อวิทยาศาสตร์: Acanthus ebracteatus Vahl<br />
ชื่อวงศ์: Acanthaceae<br />
<br />
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์: ไม้ล้มลุกคล้ายพุ่ม สูง 60-120 ซม. ใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม รูปขอบขนาน กว้างประมาณ 5 ซม. ยาว 12.5-17.5 ซม. สีเขียวเข้ม ขอบใบเว้าลึก ปลายเป็นหนามแหลม ดอกช่อเชิงลดออกที่ปลายกิ่ง ยาวประมาณ 15 ซม. ดอกย่อยจำนวนมาก ใบประดับรูปไข่ ยาว 7.5 ซม. ไม่มีใบประดับย่อย กลีบเลี้ยง 4 กลีบเรียงเป็น 2 ชั้นๆละ 2 กลีบ ชั้นในกลีบแคบกว่าชั้นนอก กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันปลายแยกเป็นแฉกรูปไข่ กลีบดอกเชื่อมติดกันปลายแยกเป็น 2 ปาก รูปขอบขนานแกมวงรี สีขาวหรืออาจมีสีน้ำเงินซีด ตรงกลางกลีบสีเหลืองกว้าง 1.5 ซม. ยาว 2.5 ซม. เกสรตัวผู้สีชมพู 4 อัน มีขนสีขาว ผลแห้งแตกได้ รูปขอบขนาน เปลือกแข็งสีน้ำตาลสด มีเมล็ดรูปกระดุม 2 เม็ด ผิวเกลี้ยง<br />
<br />
สรรพคุณทั่วไป:<br />
- ราก ขับเสมหะ แก้อัมพาต เป็นยาอายุวัฒนะ แก้หืด แก้ไอ รักษามุตกิต<br />
- รากและต้น แก้พิษไข้หัวให้ผื่นคัน แก้โรคผิวหนัง แก้ฝีหรือแผลเรื้อรัง แก้พิษฝีดาษ เป็นยาอายุวัฒนะ<br />
- ต้น เป็นยาอายุวัฒนะ แก้ปวดศีรษะ แก้โรคผิวหนัง เป็นยาตัดรากฝี แก้ฝี ถอนพิษ แก้พิษฝีดาษ รักษาแผลเรื้อรัง แก้ประดง แก้ลมพิษ<br />
- เปลือกต้น แก้โรคผิวหนังผื่นคัน แก้พิษฝี แก้พิษเลือด<br />
- ใบ แก้ปวด รักษาปอดบวม รักษาแผลอักเสบ รักษาโรคไขข้ออักเสบ ขับน้ำเหลืองเสีย ขับเสมหะ แก้ไข้ จับหนาวสั่น รักษาโรคผิวหนัง แก้คัน บำรุงประสาท รักษากลากเกลื้อน<br />
- ผล ขับโลหิตระดู แกฝีตานซาง ถอนพิษดี<br />
- เมล็ด ขับน้ำเหลืองเสีย<br />
- ทั้งห้า แก้พิษฝี แก้พิษกาฬ แก้ไข้หัว แก้โรคผิวหนังผื่นคัน แก้ประดง แก้ธาตุไม่ปรกติ แก้มะเร็ง แก้โรคลม แก้เสียงแหบแห้ง ทำให้เจริญอาหาร ทำให้เลือดลมเดินสะดวก เป็นยาอายุวัฒนะ<br />
ไม่ระบุส่วนที่ใช้ ตัดรากฝีทั้งปวง ฟอกโลหิต ฟอกน้ำเหลือง ดับพิษไข้ แก้โรคกระษัย ไตพิการ ขับปัสสาวะ<br />
<br />
สารเคมี: alkaloid, benzoxalinone, protein<br />
<br />
<span style="background-color: magenta;">ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา:</span><br />
<span style="background-color: magenta;">ยับยั้งการสร้าง leukotriene B4 ต้านการก่อมะเร็ง ยับยั้งเอนไซม์ aniline hydroxylase ต้านการก่อกลายพันธุ์</span><br />
<br />
<span style="background-color: yellow;">โรคภูมิแพ้</span><br />
<span style="background-color: yellow;">โรคภูมิแพ้ในสมัยก่อนมักจะเรียกว่าโรคน้ำเหลืองเสีย คือจะมีผื่นขึ้นบ่อยอะไรนิดอะไรหน่อยก็เป็นตุ่ม รวมถึงการเป็นฝีต่างๆ ง่ายด้วย ในขณะที่โรคภูมิแพ้ในปัจจุบันจะรวมอาการเป็นหวัด คัดจมูก ไอ จาม หอบหืด เข้าไปด้วย</span><br />
<br />
<span style="background-color: yellow;">เรื่องน้ำเหลืองเสียโรคนี้บ้านเราในสมัยก่อนนิยมใช้สมุนไพรตัวหนึ่งมากคือ ต้นเหงือกปลาหมอ ใครที่มีปัญหาผิวหนัง พวกผดผื่นคัน ผื่นขึ้นเกาแล้วมีน้ำเหลือง มีไข้เป็นผื่นหรือเป็นฝีบ่อย ๆ เขาจะเลือกใช้เหงือกปลาหมอมาต้มทั้งกินทั้งอาบ ไม่เกินเจ็ดวันหาย ถ้ายังกลับมาเป็นใหม่ก็ต้องใช้วิธีปั้นเป็นเม็ดลูกกลอนหรือใส่แคปซูลกินไปเรื่อย ๆ อย่างน้อย 3 เดือนจนกว่าจะหายขาด ในรายที่เป็นฝี ต้องใช้วิธีกิน จะต้มกินหรือปั้นเป็นลูกกลอนหรือใส่แคปซูลก็ได้ สมัยก่อนยังนิยมใช้เหงือกปลาหมอเป็นยาอายุวัฒนะ โดยบดเป็นผงละลายน้ำผึ้งกิน</span><br />
<br />
นอกจากนี้เหงือกปลาหมอยังมีสรรพคุณ แก้หวัด แก้หอบหืด ความดันโลหิตสูง ความดันโลหิตต่ำ ริดสีดวงทวาร จนมีคนกล่าวว่าเป็นสมุนไพรรักษาได้สารพัดโรค เขาจึงแนะนำให้กินเป็นยาอายุวัฒนะ<br />
<br />
แหล่งข้อมูล : มูลนิธิสุขภาพไทย<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<div style="background-color: #fdfefc; color: #444433; font-family: Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 18.366666793823242px; margin-bottom: 0.9em; margin-top: 0.5em;">
<span style="font-size: small;"><strong>สรรพคุณ : </strong></span></div>
<div style="background-color: #fdfefc; color: #444433; font-family: Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 18.366666793823242px; margin-bottom: 0.9em; margin-top: 0.5em;">
<span style="font-size: small;"><strong>ลูก </strong>รสเผ็ดร้อน รับประทานขับโลหิตระดู แก้ฝี<br /><br /><strong>เมล็ด </strong>รสเผ็ดร้อน ขับพยาธิ<br /><br /><strong>ทั้งต้น </strong>รสเค็มกร่อย รับประทานแก้พิษฝีดาษ แก้ฝีภาย ใน แก้โรคผิวหนัง น้ำเหลืองเสีย ต้มอาบแก้พิษ ไข้หัว แก้ผื่นคัน ตำพอกปิดหัวฝี แผลเรื้อรัง ตำ คั้นเาอน้ำทาศีรษะ บำรุงรากผม รับประทานเป็น ยาอายุวัฒนะ<br /><br /><strong>ใบ </strong>รสเค็ม แก้โรคผิวหนังผื่นคัน แก้ประดง แก้ฝีทั้ง ภายนอก ภายใน</span></div>
<div style="background-color: #fdfefc; color: #444433; font-family: Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 18.366666793823242px; margin-bottom: 0.9em; margin-top: 0.5em;">
<br /></div>
<div style="background-color: #fdfefc; color: #444433; font-family: Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 18.366666793823242px; margin-bottom: 0.9em; margin-top: 0.5em;">
<span style="font-size: small;"><strong><em>ข้อมูล</em><em>:</em><em>หนังสือกายบริหารแกว่งแขน ของโชคชัย ปัญจทรัพย์</em></strong></span></div>
<div style="background-color: #fdfefc; color: #444433; font-family: Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 18.366666793823242px; margin-bottom: 0.9em; margin-top: 0.5em;">
<br /></div>
<div style="background-color: #fdfefc; color: #444433; font-family: Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 18.366666793823242px; margin-bottom: 0.9em; margin-top: 0.5em;">
<span style="font-size: small;"><span style="text-decoration: underline;"><strong>สูตรยาอายุยืน</strong></span></span></div>
<div style="background-color: #fdfefc; color: #444433; font-family: Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 18.366666793823242px; margin-bottom: 0.9em; margin-top: 0.5em;">
<span style="font-size: small;"><strong>1. ต้นเงือกปลาหมอสด 50 ส่วน</strong></span></div>
<div style="background-color: #fdfefc; color: #444433; font-family: Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 18.366666793823242px; margin-bottom: 0.9em; margin-top: 0.5em;">
<span style="font-size: small;"><strong>2.เมล็ดพริกไทยร่อน 25 ส่วน</strong></span></div>
<div style="background-color: #fdfefc; color: #444433; font-family: Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 18.366666793823242px; margin-bottom: 0.9em; margin-top: 0.5em;">
<span style="font-size: small;"><strong><span style="text-decoration: underline;">วิธีปรุงยา</span></strong></span></div>
<div style="background-color: #fdfefc; color: #444433; font-family: Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 18.366666793823242px; margin-bottom: 0.9em; margin-top: 0.5em;">
<span style="font-size: small;"><strong> </strong>นำ ต้นเงือกปลาหมอสดๆมาหั่่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วตำรวมกับเมล็ดพริกไทยร่อน จากนั้่นเอาไปตากแดดให้แห้ง แล้วนำมาบดเป็นผงละเอียด จากนั้นนำมาคลุกกับน้ำผึ้งเดือน 5 ปั้นเป็นยาลูกกลอนแล้วตากแดดอีกนิดหนึ่งจึงเก็บใส่ขวดโหลไว้รับประทาน หรือจะบรรจุแคปซูลเพื่อความสะดวก</span></div>
<div style="background-color: #fdfefc; color: #444433; font-family: Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 18.366666793823242px; margin-bottom: 0.9em; margin-top: 0.5em;">
<span style="font-size: small;"> รับประทานเป็นประจำจะทำให้ร่างกายแข็งแรง บำรุงผิวพรรณ โลหิตไหลเวียนได้ดี เส้นเลือดไม่อุดตัน</span></div>
<div style="background-color: #fdfefc; color: #444433; font-family: Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 18.366666793823242px; margin-bottom: 0.9em; margin-top: 0.5em;">
<span style="font-size: small;">การรัปประทานให้รับประทานก่อนเข้านอนทุกคืนครั้งละ 1 - 2 เม็ด จะทำให้อายุยืนยาว</span></div>
<div style="background-color: #fdfefc; color: #444433; font-family: Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 18.366666793823242px; margin-bottom: 0.9em; margin-top: 0.5em;">
<strong><span style="font-size: small;">ข้อมูลจากหนังสือ : ยอดสมุนไพรยาอายุวัฒนะ ของอาจารย์ยุวดี จอมพิทักษ์</span></strong></div>
http://food-plants.blogspot.com/http://www.blogger.com/profile/04223739952562743625noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6514530156973123374.post-37014617242579758592012-08-30T12:09:00.000+07:002012-12-16T11:52:33.287+07:00ต้นสาบเสือ ห้ามเลือดได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ ปวดท้อง ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ แก้บวม ดูดหนอง<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
ต้นสาบเสือ สมุนไพรไทยอีกชนิดที่มากไปด้วยสรรพคุณ</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
ต้นสาบเสือ เป็นยาแก้ ปวดท้อง ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ แก้บวม ดูดหนอง ช่วยในการแก้ร้อนใน กระหายน้ำ เป็นยาชูกำลัง แก้อ่อนเพลีย บำรุงหัวใจ แก้ไข้</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgdhCMhHJX2EBxn9Ol8y1quBw_RdZw7mycZEIkxnLyVoR0eXOhpX5bxb2KUdQBijzDMz6CuDOCzAiUgk1Gw52nWMJNSuVrKKO2ohbIU0rdyRtPKejO7ndL2r1c5IwB4YG4fiq0dkxUdHwM/s1600/%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgdhCMhHJX2EBxn9Ol8y1quBw_RdZw7mycZEIkxnLyVoR0eXOhpX5bxb2KUdQBijzDMz6CuDOCzAiUgk1Gw52nWMJNSuVrKKO2ohbIU0rdyRtPKejO7ndL2r1c5IwB4YG4fiq0dkxUdHwM/s320/%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD.jpg" width="320" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<br />
<span style="background-color: white;">ชื่ออื่น หญ้าเสือหมอบ ( สุพรรณ - ราชบุรี - กาญจน์ ), รำเคย ( ระนอง ), ผักคราด, บ้านร้าง(ราชบุรี) , ยี่สุ่นเถื่อน (สุราษฎร์), ฝรั่งเหาะ, ฝรั่งรุกที่ (สุพรรณ) , หญ้าดอกขาว ( สุโขทัย - ระนอง ) , หญ้าเมืองวาย ( พายัพ ), พาทั้ง (เงี้ยว เชียงใหม่) , หญ้าดงรั้ง , หญ้าพระสิริไอสวรรค์ ( สระบุรี ), มุ้งกระต่าย (อุดร ) ,หญ้าลืมเมือง ( หนองคาย ),หญ้าเลาฮ้าง ( ขอนแก่น ) , สะพัง ( เลย ), หมาหลง ( ศรีราชา - ชลฯ) , นองเส้งเปรง ( กะเหรี่ยง เชียงใหม่) , ไช้ปู่กุย ( กะเหรี่ยง แม่ฮ่องสอน ) , หญ้าเมืองฮ้าง ,หญ้าเหมือน</span><br />
<span style="background-color: white;">( อิสาน) , หญ้าฝรั่งเศส , เบญจมาศ ( ตราด ) , เซโพกวย ( กะเหรี่ยง เชียงใหม่ ) , มนทน ( เพชรบูรณ์ ) ; ปวยกีเช่า , เฮียงเจกลั้ง ( จีน )</span><br />
<b style="background-color: white;">ชื่อวิทยาศาสตร์ Eupatorium odoratum L. วงศ์ Compositae</b><br />
<span style="background-color: white;">ลักษณะต้น เป็นพืชปีเดียวตาย ต้นสูง 1 - 3 เมตร ก้านมีริ้วรอย ปกคลุมด้วยขน ก้านและใบเอามาขยี้จะมีกลิ่นแรง ใบออกตรงข้ามกัน ลักษณะค่อนมาทางรูปสามเหลี่ยม ตัวใบยาว 3 - 10 ซม. ปลายใบแหลม ฐานใบกว้างใหญ่ หรือ กลมๆ ขอบใบมีรอยหยักคล้ายฟันขนาดใหญ่ มีขนปกคลุมทั้ง 2 ด้าน ด้านท้องใบมีขนหนาแน่นกว่าหลังใบ ดอกออกเป็นช่อลักษณะเป็นกระจุกคล้ายร่ม ดอกสีขาวออกม่วง มีดอกย่อยวงนอกเป็นเส้นสีขาวออกมา 1 วง ส่วนกลางของช่อดอกเป็นดอกย่อยที่มีทั้งเกสนตัวผู้และเกสรตัวเมียในดอกเดียวกัน กลีบดอกมีลักษณะเป็นหลอด ส่วยปลายแยกออกเป็น 5 กลีบ ผลมีขนาดเล็ก มีห้าเหลี่ยม ส่วนปลายมีขนช่วยพยุงให้ลอยไปตกได้ไกลๆออกดอกในฤดูหนาว มักพบตามที่รกร้างทั่วไป ชอบขึ้นตามที่มีแสงแดดมากๆตามทุ่งกว้าง ริมถนน</span><br />
<span style="background-color: white;">การเก็บมาใช้</span><br />
<span style="background-color: white;">ก้านและใบ ใช้สด</span><br />
<b style="background-color: white;">สรรพคุณ</b><br />
<span style="background-color: white;">ก้านและใบ รสสุขุม ฉุนเล็กน้อย ใช้ฆ่าแมลง ห้ามเลือดแก้แผลที่แมลงบางชนิดกัดแล้วเลือดไหลไม่หยุด ใช้ใบสดตำพอกปากแผล หรือ อาจใช้ใบสดตำกับปูนกินหมากพอกแผลห้ามเลือดได้หรือใช้ใบสดขยี้ปิดปากแผลเลือดออกเล็กน้อยได้ดี</span><br />
<span style="background-color: white;">ผลทางเภสัชวิทยา</span><br />
<span style="background-color: white;">น้ำต้มสกัดจากใบและต้น มีฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้เล็กที่แยกออกจากตัวของหนูตะเภา แต่ลดการบีบตัวของลำไส้เล็กที่แยกออกจากตัวของกระต่าย น้ำต้มสกัดและผลึกสารที่สกัดได้จากต้นนี้ ไม่มีผลอย่างเด่นชัดต่อมดลูกที่แยกออกจากตัวของกระต่าย หากนำไปฉีดเข้าช่องท้องของหนูเล็ก พบมีความเป็นพิษเพียงเล็กน้อย</span><br />
<span style="background-color: white;">สารเคมีที่พบ</span><br />
<span style="background-color: white;">ทั้งต้น มีน้ำมันระเหย ซึ่งประกอบด้วย Eupatol(22) , Coumarin ,d และ I - Eupatene(1), Lupeol , b - Amyrin และ Flavone Salvigenin (22) </span><br />
<span style="background-color: white;">ใบ มี Ceryl alcohol ; a-,b-,g- Sitosterol (23) , Anisic acid , Trihydric alcohol (C25 H34O5,m.p.278-280ฐC) , Tannin , น้ำตาล (24) ,Isosakuranetin , Odoratin , (2/ - hydroxy - 4 , 4/ , 5/ ,6/ - tetramethoxychalcone) , Acacetin (25)</span>
<br />
<span style="background-color: white;"><br /></span>
<span style="background-color: yellow;"><span style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, Thonburi, Bangkok; font-size: x-small; line-height: 16.883333206176758px;">ต้น เป็นยาแก้ ปวดท้อง ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ แก้บวม ดูดหนอง</span><br style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, Thonburi, Bangkok; font-size: small; line-height: 16.883333206176758px;" /><span style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, Thonburi, Bangkok; font-size: x-small; line-height: 16.883333206176758px;"> </span><br style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, Thonburi, Bangkok; font-size: small; line-height: 16.883333206176758px;" /><span style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, Thonburi, Bangkok; font-size: x-small; line-height: 16.883333206176758px;">ใบ ใบของสาบเสือมีสารสำคัญคือ กระอะนิสิก และฟลาโวนอยด์หลายชนิด เช่น ไอโซซาxxxรานิติน และโอโดราติน นอกจากนี้ยังมีสารพวกน้ำมันหอมระเหย ซึ่งประกอบไปด้วยสารยูพาทอล คูมาริน โดยสารสำคัญเหล่านี้จะไปออกฤทธิ์ที่ผนังเส้นเลือดทำให้เส้นเลือดหดตัว และนอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ไปกระตุ้นสารที่ทำให้เลือดแข็งตัวได้เร็วขึ้น ทำให้สามารถห้ามเลือดได้[6]ใช้เป็นยารักษาแผลสด สมานแผล ถอนพิษแก้อักเสบ แก้พิษน้ำเหลือง แก้ตาฟาง แก้ตาแฉะ แก้ริดสีดวงทวารหนัก รักษาแผลเปื่อย </span><br style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, Thonburi, Bangkok; font-size: small; line-height: 16.883333206176758px;" /><span style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, Thonburi, Bangkok; font-size: x-small; line-height: 16.883333206176758px;">ดอก เป็นยาแก้ร้อนใน กระหายน้ำ ชูกำลัง แก้อ่อนเพลีย บำรุงหัวใจ แก้ไข้ </span><br style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, Thonburi, Bangkok; font-size: small; line-height: 16.883333206176758px;" /><span style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, Thonburi, Bangkok; font-size: x-small; line-height: 16.883333206176758px;">ทั้งต้น เป็นยาแก้บาดทะยัก(ลอกเขามา)http://www.rakbankerd.com/agriculture/wb/show.php?Category=agriculture&No=14384</span></span><br />
<br style="background-color: #ecedf3; font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, Thonburi, Bangkok; font-size: small; line-height: 16.883333206176758px;" />
<span style="background-color: yellow; color: green; font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, Thonburi, Bangkok; font-size: x-small; line-height: 16.883333206176758px;">สรพพคุณทั้งหมดที่ว่ามาดีที่สุดและเคยใช้มาแล้วคือ ใบสาบเสือห้ามเลือดได้ดีที่สุดคือ เคยถูกมีดบาด เป็นแผลใหญ่พอควร ก็เด็ดใบสาบเสือมาขยี้ในมือแล้วเอาแปะไปตรงแผล สักครู่เลือดก้หยุดไหล แต่แสบมากๆ ข้อดีคือ หลังจากแผลหายแล้ว ไม่มีแผลเป็น สรรพคุณอีกข้อหนึ่งก็คือ ทั้งต้นและใบสาบเสือสามรถขจัดน้ำเน่าได้ เอาทั้งใบและต้นใส่ลงไปแช่ในบ่อน้ำเน่า ผ่านไป2-<br />3 สัปดาห์ น้ำจะเริ่มใสขึ้นเรื่อยๆๆๆ</span>
<br />
<span style="background-color: yellow; color: green; font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, Thonburi, Bangkok; font-size: x-small; line-height: 16.883333206176758px;"><br /></span>
<span style="background-color: yellow; color: green; font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, Thonburi, Bangkok; font-size: x-small; line-height: 16.883333206176758px;"><br /></span>http://food-plants.blogspot.com/http://www.blogger.com/profile/04223739952562743625noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6514530156973123374.post-77305890645261609532012-08-08T16:02:00.001+07:002013-06-05T16:33:23.071+07:00มะระขี้นก รักษา เบาหวาน กระตุ้นการย่อยอาหาร<strong>มะระขี้นกเป็นผักพื้นบ้านที่มีอยู่ทั่วไปทั่วทุกภาคของประเทศไทย </strong><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgaxG_QO-bPEDuYGxEL1QRFlWIDZTpVgyDglFKb5UguP4HIfKvR0z-cfqHWg0WqxaIqetamZcKoyJD2mBHreFhc6m1aykbCoJW0Uky-Glzsg2RPsOM-OZB2D5Kz20g83JPlisBtoCaWY4M/s1600/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%81.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgaxG_QO-bPEDuYGxEL1QRFlWIDZTpVgyDglFKb5UguP4HIfKvR0z-cfqHWg0WqxaIqetamZcKoyJD2mBHreFhc6m1aykbCoJW0Uky-Glzsg2RPsOM-OZB2D5Kz20g83JPlisBtoCaWY4M/s1600/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%81.jpg" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<br />
<strong>ชื่อวิทยาศาสตร์ </strong>Momordica charantin Linn <br />
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">
<strong><span style="font-family: 'Wingdings 2'; mso-ascii-font-family: 'Times New Roman'; mso-char-type: symbol; mso-hansi-font-family: 'Times New Roman'; mso-symbol-font-family: 'Wingdings 2';"><span style="mso-char-type: symbol; mso-symbol-font-family: 'Wingdings 2';"></span></span>วงศ์</strong> Cucurbitaceae</div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">
<br />
<strong>ชื่ออังกฤษ </strong>Balsam apple, Balsam pear, Bitter cucumber, Bitter gourd, Bitter melon, Carilla fruit</div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">
<span style="font-family: "Wingdings 2"; mso-ascii-font-family: 'Times New Roman'; mso-char-type: symbol; mso-hansi-font-family: 'Times New Roman'; mso-symbol-font-family: 'Wingdings 2';"><span style="mso-char-type: symbol; mso-symbol-font-family: 'Wingdings 2';"><span style="color: black; font-size: small;"><br /></span></span></span><strong><span style="font-family: "Wingdings 2"; mso-ascii-font-family: 'Times New Roman'; mso-char-type: symbol; mso-hansi-font-family: 'Times New Roman'; mso-symbol-font-family: 'Wingdings 2';"><span style="mso-char-type: symbol; mso-symbol-font-family: 'Wingdings 2';"><span style="color: black; font-size: small;"></span></span></span>ชื่ออื่นๆ </strong>ผัก
ไห่ มะไห่ มะนอย มะห่วย ผักไซ (เหนือ) สุพะซู สุพะเด
(กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) มะร้อยรู มะระหนู (กลาง) ผักเหย (สงขลา) ผักไห
(นครศรีธรรมราช) ระ (ใต้) ผักสะไล ผักไส่ ผักไซร้ (อีสาน) โกควยเกี๋ยะ
โควกวย (จีน) มะระเล็ก มะระขี้นก (ทั่วไป) ชาวปานามาเรียก บัลซามิโน่ <br />
มะระขี้นกมีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตร้อนของเอเชียและทางตอนเหนือของแอฟริกาเขตร้อน</div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">
<br /></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">
<strong><span style="font-family: "Wingdings 2"; mso-ascii-font-family: 'Times New Roman'; mso-char-type: symbol; mso-hansi-font-family: 'Times New Roman'; mso-symbol-font-family: 'Wingdings 2';"><span style="mso-char-type: symbol; mso-symbol-font-family: 'Wingdings 2';"></span></span>สรรพคุณทาง ยา : มะระขี้นกในภูมิปัญญาไทยและชนชาติอื่น</strong><br />
น้ำต้ม<strong>ราก</strong>มะระขี้นกใช้ดื่มเป็นยาลดไข้ บำรุงธาตุ เป็นยาฝาดสมาน แก้ริดสีดวงทวาร แก้บาดแผลอักเสบ <br />
<strong>ใบ</strong>ช่วยเจริญอาหาร ช่วยระบาย</div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">
<strong><br />น้ำคั้นใบ</strong>ดื่มเป็นยาทำให้อาเจียน บรรเทาอาการท่อน้ำดีอักเสบ <br />
<br />
<strong>ดอก</strong>ชงกินกับน้ำแก้อาการหืดหอบ <br />
<br />
<strong>ผล</strong>กิน
เป็นยาขม ช่วยเจริญอาหาร บำรุงร่างกาย ขับพยาธิ แก้ตับและม้ามอักเสบ
หรือจะคั้นน้ำมะระดื่มสัปดาห์ละไม่เกิน 1 แก้ว เพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือด
และเป็นยาระบาย<br />
<br />
ส่วน<strong>เมล็ด</strong>ใช้เป็นยาขับพยาธิตัวกลม <br />
<br />
มะระมี<strong>ฤทธิ์เย็น จึงมีคำแนะนำว่าไม่ควรกินติดกันเกินไป </strong>เว้นระยะกินอาหารผักอย่างอื่นบ้างให้ร่างกายเกิดสมดุล แล้วจึงกลับมากินมะระได้อีก <br />
<br />
ชาวโอกินาวาในประเทศญี่ปุ่นกินมะระขี้นกมาก เชื่อกันว่ามะระขี้นกมีส่วนช่วยให้ชาวโอกินาวามีอายุเฉลี่ยยืนยาวกว่าชาวญี่ปุ่นทั่วไป<br />
<br />
แพทย์
พื้นบ้านในทวีปเอเชียใช้มะระในตำรับยารักษาโรคมานาน ชาวเอเชีย ปานามา
และโคลัมเบียใช้ชาใบมะระป้องกันและรักษาโรคมาลาเรีย
ฤทธิ์ดังกล่าวได้มีการตรวจสอบแล้วในห้องปฏิบัติการ <br />
<br />
<strong>มะระมีความขมจึงมีฤทธิ์กระตุ้นการย่อยอาหาร </strong>ช่วยบุคคลที่ระบบย่อยอาหารไม่ค่อยทำงาน อาหารไม่ย่อย หรือท้องผูก แต่ก็อาจก่อให้เกิดอาการกรดไหลย้อนหรือแผลในกระเพาะอาหารได้ด้วย <br />
<br />
น้ำมัน
จากมะระขี้นกมีกรดเอลีโอสเตียริก
การศึกษาพบว่ากรดดังกล่าวมีฤทธิ์ป้องกันไม่ให้เกิดการสร้างหลอดเลือดใหม่
มีนัยยับยั้งการขยายขนาดของก้อนมะเร็งที่จำเป็นต้องมีหลอดเลือดไปหล่อเลี้ยง<br />
<br />
ผล
จากห้องปฏิบัติการพบว่าโปรตีนและไกลโคโปรตีนเล็กทินจากมะระขี้นกมีประโยชน์
ในการรักษาผู้ป่วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง
แต่สารเหล่านี้ดูดซึมผ่านระบบทางเดินอาหารได้น้อยมาก
การกินเป็นอาหารจึงไม่สามารถลดปริมาณเชื้อไวรัสในผู้ป่วยได้
คาดว่าได้ประโยชน์ในการสร้างภูมิคุ้มกันมากกว่า
โดยทั่วไปมักใช้ผลอ่อนคั้นน้ำดื่มหรือตากแห้งบดเป็นผงใส่แคปซูลกิน
การใช้น้ำคั้นจากผลดื่มได้ผลดีพอสมควร
แต่การสวนทวารด้วยน้ำคั้นมะระจะได้ผลดีกว่าการดื่ม เพราะสารสำคัญ MAB-30
เป็นสารโปรตีนที่จะถูกทำลายโดยกรดและน้ำย่อยอาหารในกระเพาะอาหารได้
โปรตีนดังกล่าวมีหลักฐานอ้างอิงว่ามีฤทธิ์ต้านมะเร็ง <br />
<br />
ชาวปานามาใช้
ชาชงใบมะระกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ชาวไทยใช้เนื้อมะระขี้นกลดน้ำตาลในเลือด
รักษาโรคเบาหวาน โดยหั่นเนื้อมะระตากแห้งชงน้ำดื่ม
ถ้าต้องการกลบรสขมให้เติมใบชาลงไปด้วยขณะที่ชง ดื่มต่างน้ำชา <br />
<br />
เนื่อง
จากซีกโลกตะวันตกจัดมะระขี้นกเป็นมะระจีนพันธุ์หนึ่ง
ฤทธิ์ของมะระขี้นกถูกรวบรวมไว้ในฤทธิ์ของมะระแต่ไม่สามารถแยกออกมาได้
บทความนี้จึงไม่สามารถอ้างอิงบทความทางการแพทย์จากแหล่งตะวันตกได้ </div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">
<br /></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">
<br /></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">
<b style="background-color: yellow;">งานวิจัย</b></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">
<span style="font-size: 14px;">
มะระขี้นก (<i>Momordica charantia</i> L.)
เป็นสมุนไพรที่ใช้กันมานานนับพันปี ในเอเซีย อาฟริกา และละตินอเมริกา
อายุรเวทใช้ผลมะระรักษาเบาหวาน โรคตับ บรรเทาอาการโรคเก๊าต์และข้ออักเสบ
ตำรายาไทยใช้ใบมะระในตำรับยาเขียวลดไข้ รากในตำรับยาแก้โลหิตเป็นพิษ
และโรคตับ
<br />
งานวิจัยสมุนไพรมะระได้ดำเนินอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ ค.ศ. 1962 ซึ่ง
Lotlika และ Rao ได้ค้นพบชาแรนตินในผลมะระ
ที่แสดงฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดของสัตว์ทดลอง ในปี 1965 Sucrow
ได้พิสูจน์โครงสร้างเคมีของชาแรนติน พบว่าเป็นสารผสมของ sitosteryl- และ
5,25-stigmastadien-3-beta-ol-D-glucosides ในอัตราส่วน 1:1 ปี 1977
Baldwa และคณะ ได้แยกสารคล้ายอินซูลินจากผลมะระและมีฤทธิ์ลดน้ำตาล ในปี
1981 Khana และคณะได้พิสูจน์โครงสร้างของสารคล้ายอินซูลิน
พบว่าเป็นโพลีเปปไทด์ที่มีน้ำหนักโมเลกุล 11,000 ดาลตัน และมีกรดอะมิโน 166
residues เรียกสารนี้ว่า โพลีเปปไทด์ พี
สารขมกลุ่มคิวเคอร์บิตาซินซึ่งเป็น chemotaxonomic character ของพืชวงศ์
Cucurbitaceae คิวเคอร์บิตาซินในมะระ คือ momordicosides, momordicins,
karaviloside K1 และ charantoside
มีรายงานว่าสารขมดังกล่าวมีฤทธิ์ลดน้ำตาล
<br />
<span style="background-color: yellow;">
ในมะระขี้นกมีสารหลายชนิดที่ต้านเบาหวาน
และมีหลายกลไกที่ออกฤทธิ์ต้านเบาหวาน ได้แก่
เสริมการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อน ลดการสร้างน้ำตาลจากตับ
เสริมการเผาผลาญน้ำตาล เพิ่มความไวต่ออินซูลิน เพิ่มความทนต่อกลูโคส
(glucose tolerance) นอกจากนี้ยังยับยั้งการหลั่งกลูโคสในลำไส้เล็ก
และยับยั้งเอนไซม์กลูโคไซเดส
</span><br style="background-color: yellow;" /><span style="background-color: yellow;">
น้ำคั้นจากผลมะระขี้นกแสดงฤทธิ์ต้านเบาหวานในกระต่ายและหนูขาว
นอกจากนี้ยังมีรายงานว่ามะระสามารถชะลอความผิดปกติของไต การเกิดต้อกระจก
การเสื่อมของเส้นประสาทซึ่งเป็นผลมาจากการที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเป็น
เวลานาน หรือไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลเลือดให้ปกติ
</span><br />
การศึกษาทางคลินิกในผู้ป่วยเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน (8 คน)
พบว่าผู้ป่วยทนต่อกลูโคสได้ดีขึ้น ลดระดับน้ำตาลขณะอิ่ม
และลดความถี่ของการถ่ายปัสสาวะ
จึงขอแนะนำผู้ป่วยเบาหวานบริโภคมะระขี้นกเป็นอาหาร
หรือในรูปน้ำคั้นเป็นอาหารเสริม เพื่อช่วยรักษาระดับความดันเลือดให้ปกติ
และชะลออาการต่างๆที่เป็นผลเสียจากโรคเบาหวานที่เป็นมานาน
<br />
มะระขี้นก (สีเขียว) มีคุณค่าทางอาหารเพราะมีวิตามินเอ (2,924 IU) ไนอะซิน (190 มก./100 ก) และมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ
<br />
<u><b>การเตรียมน้ำคั้นจากผลมะระขี้นก</b></u> ขนาดที่ใช้ต่อวัน ผลสด 100
ก. นำมาผ่าครึ่ง ใช้ช้อนกาแฟขูดไส้ในและเมล็ดออก
หั่นเนื้อผลเป็นชิ้นเล็กขนาดกว้าง 1 ซม. ใส่ในเครื่องปั่นแยกกาก
จะได้น้ำมะระประมาณ 40 มล. ดื่มหลังอาหารเช้าหรือเย็น</span> <br />
<span style="font-size: 14px;"><br /></span>
<span style="font-size: 14px;"><br /></span>
<div style="background-color: white; border: 0px; color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 21px; margin-bottom: 15px; margin-top: 15px; padding: 0px;">
<span style="border: 0px; color: red; margin: 0px; padding: 0px;">มะระที่สุกแล้วจะมีสารซาโปนิน (Saponin) ในปริมาณมาก อาจทำให้มีอาการอาเจียนและท้องร่วงได้ อาจทำให้ถึงแก่ชีวิต</span></div>
<div style="background-color: white; border: 0px; color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 21px; margin-bottom: 15px; margin-top: 15px; padding: 0px;">
<strong style="border: 0px; margin: 0px; padding: 0px;"><span style="border: 0px; color: red; margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: underline;">ผู้ที่ห้ามรับประทานมะระขี้นก</span></strong> ได้แก่ผู้ที่ม้ามเย็นพร่อง กระเพาะเย็นพร่อง หากรรับประทานเข้าไปอาจจะทำให้มีอาการอาเจียน ถ่ายท้อง ปวดท้องได้ และควรรับประทานในปริมาณที่พอดี อย่าทำอะไรเกินเลย เช่นการดื่มน้ำมะระขี้นกก็อย่าขมจัด เพราะจะทำให้ตับทำงานหนัก และสำหรับหญิงตั้งครรภ์อาจจะทำให้ตกเลือดหรือแท้งได้หากรับประทานเกินขนาดหรือกินมะระขี้นกที่เริ่มสุกแล้ว</div>
<div class="ja-typo-legend legend-rounded legend-1" style="-webkit-box-shadow: rgba(0, 0, 0, 0.498039) 0px 0px 3px; background-color: white; border-bottom-left-radius: 8px; border-bottom-right-radius: 8px; border-top-left-radius: 8px; border-top-right-radius: 8px; border: 3px solid rgb(221, 221, 221); box-shadow: rgba(0, 0, 0, 0.498039) 0px 0px 3px; color: #666666; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 19px; margin: 20px 0px; padding: 20px 15px 15px; position: relative;">
<h3 class="legend-title" style="border: 0px; float: left; font-family: Arial, sans-serif; font-size: 17px; left: 10px; line-height: normal; margin: 0px !important; padding: 5px !important; position: absolute; top: -17px;">
<span style="border: 0px; margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: underline;"><em style="border: 0px; margin: 0px; padding: 0px;">คุณค่าทางโภชนาการของผลมะระขี้นกต่อ 100 กรัม</em></span></h3>
<ul class="ja-typo-list list-check" style="border: 0px; list-style: none; margin: 15px 0px; padding: 0px;">
<li style="background-image: none; border: 0px; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 21px; list-style: none; margin: 0px 0px 5px 8px; overflow: hidden; padding: 0px 0px 0px 25px; position: relative;"><span class="icon" style="background-image: url(http://www.greenerald.com/plugins/system/jatypo/jatypo/typo/images/icons-sprites-silk2.png); background-position-x: 0%; background-position-y: -36px !important; background-repeat: no-repeat no-repeat; border: 0px; display: block; height: 18px; left: 0px; margin: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px !important; padding-right: 0px; padding-top: 0px; position: absolute; top: 0px; width: 18px;"></span>พลังงาน 19 กิโลแคลอรี</li>
<li style="background-image: none; border: 0px; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 21px; list-style: none; margin: 0px 0px 5px 8px; overflow: hidden; padding: 0px 0px 0px 25px; position: relative;"><span class="icon" style="background-image: url(http://www.greenerald.com/plugins/system/jatypo/jatypo/typo/images/icons-sprites-silk2.png); background-position-x: 0%; background-position-y: -36px !important; background-repeat: no-repeat no-repeat; border: 0px; display: block; height: 18px; left: 0px; margin: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px !important; padding-right: 0px; padding-top: 0px; position: absolute; top: 0px; width: 18px;"></span>คาร์โบไฮเดรต 4.32 กรัม</li>
<li style="background-image: none; border: 0px; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 21px; list-style: none; margin: 0px 0px 5px 8px; overflow: hidden; padding: 0px 0px 0px 25px; position: relative;"><span class="icon" style="background-image: url(http://www.greenerald.com/plugins/system/jatypo/jatypo/typo/images/icons-sprites-silk2.png); background-position-x: 0%; background-position-y: -36px !important; background-repeat: no-repeat no-repeat; border: 0px; display: block; height: 18px; left: 0px; margin: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px !important; padding-right: 0px; padding-top: 0px; position: absolute; top: 0px; width: 18px;"></span>น้ำตาล 1.95 กรัม</li>
<li style="background-image: none; border: 0px; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 21px; list-style: none; margin: 0px 0px 5px 8px; overflow: hidden; padding: 0px 0px 0px 25px; position: relative;"><span class="icon" style="background-image: url(http://www.greenerald.com/plugins/system/jatypo/jatypo/typo/images/icons-sprites-silk2.png); background-position-x: 0%; background-position-y: -36px !important; background-repeat: no-repeat no-repeat; border: 0px; display: block; height: 18px; left: 0px; margin: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px !important; padding-right: 0px; padding-top: 0px; position: absolute; top: 0px; width: 18px;"></span>เส้นใย 2 กรัม</li>
<li style="background-image: none; border: 0px; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 21px; list-style: none; margin: 0px 0px 5px 8px; overflow: hidden; padding: 0px 0px 0px 25px; position: relative;"><span class="icon" style="background-image: url(http://www.greenerald.com/plugins/system/jatypo/jatypo/typo/images/icons-sprites-silk2.png); background-position-x: 0%; background-position-y: -36px !important; background-repeat: no-repeat no-repeat; border: 0px; display: block; height: 18px; left: 0px; margin: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px !important; padding-right: 0px; padding-top: 0px; position: absolute; top: 0px; width: 18px;"></span>ไขมัน 0.18 กรัม</li>
<li style="background-image: none; border: 0px; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 21px; list-style: none; margin: 0px 0px 5px 8px; overflow: hidden; padding: 0px 0px 0px 25px; position: relative;"><span class="icon" style="background-image: url(http://www.greenerald.com/plugins/system/jatypo/jatypo/typo/images/icons-sprites-silk2.png); background-position-x: 0%; background-position-y: -36px !important; background-repeat: no-repeat no-repeat; border: 0px; display: block; height: 18px; left: 0px; margin: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px !important; padding-right: 0px; padding-top: 0px; position: absolute; top: 0px; width: 18px;"></span><a class="sitelinkx" href="http://www.greenerald.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99/%E0%B9%82%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B8%99" style="border: 0px; color: #999999; margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: none;" target="_blank" title="โปรตีน (Protein) คืออะไร? โครงสร้างและประโยชน์ของโปรตีน !!">โปรตีน</a> 0.84 กรัม</li>
<li style="background-image: none; border: 0px; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 21px; list-style: none; margin: 0px 0px 5px 8px; overflow: hidden; padding: 0px 0px 0px 25px; position: relative;"><span class="icon" style="background-image: url(http://www.greenerald.com/plugins/system/jatypo/jatypo/typo/images/icons-sprites-silk2.png); background-position-x: 0%; background-position-y: -36px !important; background-repeat: no-repeat no-repeat; border: 0px; display: block; height: 18px; left: 0px; margin: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px !important; padding-right: 0px; padding-top: 0px; position: absolute; top: 0px; width: 18px;"></span><a class="sitelinkx" href="http://www.greenerald.com/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3" style="border: 0px; color: #999999; margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: none;" target="_blank" title="ประโยชน์ของน้ำ 25 ข้อ! วิธีดื่มน้ำอย่างถูกวิธี ความสำคัญและโทษของน้ำ!">น้ำ</a> 93.95 กรัม</li>
<li style="background-image: none; border: 0px; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 21px; list-style: none; margin: 0px 0px 5px 8px; overflow: hidden; padding: 0px 0px 0px 25px; position: relative;"><span class="icon" style="background-image: url(http://www.greenerald.com/plugins/system/jatypo/jatypo/typo/images/icons-sprites-silk2.png); background-position-x: 0%; background-position-y: -36px !important; background-repeat: no-repeat no-repeat; border: 0px; display: block; height: 18px; left: 0px; margin: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px !important; padding-right: 0px; padding-top: 0px; position: absolute; top: 0px; width: 18px;"></span><a class="sitelinkx" href="http://www.greenerald.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AD" style="border: 0px; color: #999999; margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: none;" target="_blank" title="วิตามินเอ (Vitamin A) ประโยชน์ของวิตามินเอ และโทษของวิตามินเอ !!">วิตามินเอ</a> 6 ไมโครกรัม 1%</li>
<li style="background-image: none; border: 0px; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 21px; list-style: none; margin: 0px 0px 5px 8px; overflow: hidden; padding: 0px 0px 0px 25px; position: relative;"><span class="icon" style="background-image: url(http://www.greenerald.com/plugins/system/jatypo/jatypo/typo/images/icons-sprites-silk2.png); background-position-x: 0%; background-position-y: -36px !important; background-repeat: no-repeat no-repeat; border: 0px; display: block; height: 18px; left: 0px; margin: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px !important; padding-right: 0px; padding-top: 0px; position: absolute; top: 0px; width: 18px;"></span>แบต้าแคโรทีน 68 ไมโครกรัม 1%</li>
<li style="background-image: none; border: 0px; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 21px; list-style: none; margin: 0px 0px 5px 8px; overflow: hidden; padding: 0px 0px 0px 25px; position: relative;"><span class="icon" style="background-image: url(http://www.greenerald.com/plugins/system/jatypo/jatypo/typo/images/icons-sprites-silk2.png); background-position-x: 0%; background-position-y: -36px !important; background-repeat: no-repeat no-repeat; border: 0px; display: block; height: 18px; left: 0px; margin: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px !important; padding-right: 0px; padding-top: 0px; position: absolute; top: 0px; width: 18px;"></span>ลูทีน และ ซีแซนทีน 1,323 ไมโครกรัม</li>
<li style="background-image: none; border: 0px; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 21px; list-style: none; margin: 0px 0px 5px 8px; overflow: hidden; padding: 0px 0px 0px 25px; position: relative;"><span class="icon" style="background-image: url(http://www.greenerald.com/plugins/system/jatypo/jatypo/typo/images/icons-sprites-silk2.png); background-position-x: 0%; background-position-y: -36px !important; background-repeat: no-repeat no-repeat; border: 0px; display: block; height: 18px; left: 0px; margin: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px !important; padding-right: 0px; padding-top: 0px; position: absolute; top: 0px; width: 18px;"></span><a class="sitelinkx" href="http://www.greenerald.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B51" style="border: 0px; color: #999999; margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: none;" target="_blank" title="วิตามินบี1 (ไทอะมีน) ประโยชน์ของวิตามินบี1">วิตามินบี1</a> 0.051 มิลลิกรัม 4%</li>
<li style="background-image: none; border: 0px; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 21px; list-style: none; margin: 0px 0px 5px 8px; overflow: hidden; padding: 0px 0px 0px 25px; position: relative;"><span class="icon" style="background-image: url(http://www.greenerald.com/plugins/system/jatypo/jatypo/typo/images/icons-sprites-silk2.png); background-position-x: 0%; background-position-y: -36px !important; background-repeat: no-repeat no-repeat; border: 0px; display: block; height: 18px; left: 0px; margin: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px !important; padding-right: 0px; padding-top: 0px; position: absolute; top: 0px; width: 18px;"></span><a class="sitelinkx" href="http://www.greenerald.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B52" style="border: 0px; color: #999999; margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: none;" target="_blank" title="วิตามินบี2 (Riboflavin) ประโยชน์ของวิตามินบี 2">วิตามินบี2</a> 0.053 มิลลิกรัม 4%</li>
<li style="background-image: none; border: 0px; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 21px; list-style: none; margin: 0px 0px 5px 8px; overflow: hidden; padding: 0px 0px 0px 25px; position: relative;"><span class="icon" style="background-image: url(http://www.greenerald.com/plugins/system/jatypo/jatypo/typo/images/icons-sprites-silk2.png); background-position-x: 0%; background-position-y: -36px !important; background-repeat: no-repeat no-repeat; border: 0px; display: block; height: 18px; left: 0px; margin: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px !important; padding-right: 0px; padding-top: 0px; position: absolute; top: 0px; width: 18px;"></span><a class="sitelinkx" href="http://www.greenerald.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B53" style="border: 0px; color: #999999; margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: none;" target="_blank" title="วิตามินบี3 (ไนอะซิน) ประโยชน์ของวิตามินบี3">วิตามินบี3</a> 0.28 มิลลิกรัม 2%</li>
<li style="background-image: none; border: 0px; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 21px; list-style: none; margin: 0px 0px 5px 8px; overflow: hidden; padding: 0px 0px 0px 25px; position: relative;"><span class="icon" style="background-image: url(http://www.greenerald.com/plugins/system/jatypo/jatypo/typo/images/icons-sprites-silk2.png); background-position-x: 0%; background-position-y: -36px !important; background-repeat: no-repeat no-repeat; border: 0px; display: block; height: 18px; left: 0px; margin: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px !important; padding-right: 0px; padding-top: 0px; position: absolute; top: 0px; width: 18px;"></span><a class="sitelinkx" href="http://www.greenerald.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B55" style="border: 0px; color: #999999; margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: none;" target="_blank" title="วิตามินบี5 (กรดแพนโทเทนิก) ประโยชน์ของวิตามินบี5">วิตามินบี5</a> 0.193 มิลลิกรัม 4%</li>
<li style="background-image: none; border: 0px; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 21px; list-style: none; margin: 0px 0px 5px 8px; overflow: hidden; padding: 0px 0px 0px 25px; position: relative;"><span class="icon" style="background-image: url(http://www.greenerald.com/plugins/system/jatypo/jatypo/typo/images/icons-sprites-silk2.png); background-position-x: 0%; background-position-y: -36px !important; background-repeat: no-repeat no-repeat; border: 0px; display: block; height: 18px; left: 0px; margin: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px !important; padding-right: 0px; padding-top: 0px; position: absolute; top: 0px; width: 18px;"></span><a class="sitelinkx" href="http://www.greenerald.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B56" style="border: 0px; color: #999999; margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: none;" target="_blank" title="วิตามินบี6 (Pyridoxine) ประโยชน์ของวิตามินบี6">วิตามินบี6</a> 0.041 มิลลิกรัม 3%</li>
<li style="background-image: none; border: 0px; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 21px; list-style: none; margin: 0px 0px 5px 8px; overflow: hidden; padding: 0px 0px 0px 25px; position: relative;"><span class="icon" style="background-image: url(http://www.greenerald.com/plugins/system/jatypo/jatypo/typo/images/icons-sprites-silk2.png); background-position-x: 0%; background-position-y: -36px !important; background-repeat: no-repeat no-repeat; border: 0px; display: block; height: 18px; left: 0px; margin: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px !important; padding-right: 0px; padding-top: 0px; position: absolute; top: 0px; width: 18px;"></span><a class="sitelinkx" href="http://www.greenerald.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B9%82%E0%B8%9F%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%81" style="border: 0px; color: #999999; margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: none;" target="_blank" title="กรดโฟลิก (วิตามินบี9) ประโยชน์ของกรดโฟลิก">วิตามินบี9</a> 51 ไมโครกรัม 13%</li>
<li style="background-image: none; border: 0px; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 21px; list-style: none; margin: 0px 0px 5px 8px; overflow: hidden; padding: 0px 0px 0px 25px; position: relative;"><span class="icon" style="background-image: url(http://www.greenerald.com/plugins/system/jatypo/jatypo/typo/images/icons-sprites-silk2.png); background-position-x: 0%; background-position-y: -36px !important; background-repeat: no-repeat no-repeat; border: 0px; display: block; height: 18px; left: 0px; margin: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px !important; padding-right: 0px; padding-top: 0px; position: absolute; top: 0px; width: 18px;"></span><a class="sitelinkx" href="http://www.greenerald.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%8B%E0%B8%B5" style="border: 0px; color: #999999; margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: none;" target="_blank" title="วิตามินซี (Vitamin C) ประโยชน์ของวิตามินซี">วิตามินซี</a> 33 มิลลิกรัม 40%</li>
<li style="background-image: none; border: 0px; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 21px; list-style: none; margin: 0px 0px 5px 8px; overflow: hidden; padding: 0px 0px 0px 25px; position: relative;"><span class="icon" style="background-image: url(http://www.greenerald.com/plugins/system/jatypo/jatypo/typo/images/icons-sprites-silk2.png); background-position-x: 0%; background-position-y: -36px !important; background-repeat: no-repeat no-repeat; border: 0px; display: block; height: 18px; left: 0px; margin: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px !important; padding-right: 0px; padding-top: 0px; position: absolute; top: 0px; width: 18px;"></span><a class="sitelinkx" href="http://www.greenerald.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B5" style="border: 0px; color: #999999; margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: none;" target="_blank" title="วิตามินอี (Vitamin E) ประโยชน์ของวิตามินอี">วิตามินอี</a> 0.14 มิลลิกรัม 1%</li>
<li style="background-image: none; border: 0px; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 21px; list-style: none; margin: 0px 0px 5px 8px; overflow: hidden; padding: 0px 0px 0px 25px; position: relative;"><span class="icon" style="background-image: url(http://www.greenerald.com/plugins/system/jatypo/jatypo/typo/images/icons-sprites-silk2.png); background-position-x: 0%; background-position-y: -36px !important; background-repeat: no-repeat no-repeat; border: 0px; display: block; height: 18px; left: 0px; margin: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px !important; padding-right: 0px; padding-top: 0px; position: absolute; top: 0px; width: 18px;"></span><a class="sitelinkx" href="http://www.greenerald.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%84" style="border: 0px; color: #999999; margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: none;" target="_blank" title="วิตามินเค (Vitamin K) ประโยชน์ของวิตามินเค">วิตามินเค</a> 4.8 ไมโครกรัม 5%</li>
<li style="background-image: none; border: 0px; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 21px; list-style: none; margin: 0px 0px 5px 8px; overflow: hidden; padding: 0px 0px 0px 25px; position: relative;"><span class="icon" style="background-image: url(http://www.greenerald.com/plugins/system/jatypo/jatypo/typo/images/icons-sprites-silk2.png); background-position-x: 0%; background-position-y: -36px !important; background-repeat: no-repeat no-repeat; border: 0px; display: block; height: 18px; left: 0px; margin: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px !important; padding-right: 0px; padding-top: 0px; position: absolute; top: 0px; width: 18px;"></span><a class="sitelinkx" href="http://www.greenerald.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1" style="border: 0px; color: #999999; margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: none;" target="_blank" title="ธาตุแคลเซียม (Calcium) ประโยชน์ของแคลเซียม">ธาตุแคลเซียม</a> 9 มิลลิกรัม 1%</li>
<li style="background-image: none; border: 0px; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 21px; list-style: none; margin: 0px 0px 5px 8px; overflow: hidden; padding: 0px 0px 0px 25px; position: relative;"><span class="icon" style="background-image: url(http://www.greenerald.com/plugins/system/jatypo/jatypo/typo/images/icons-sprites-silk2.png); background-position-x: 0%; background-position-y: -36px !important; background-repeat: no-repeat no-repeat; border: 0px; display: block; height: 18px; left: 0px; margin: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px !important; padding-right: 0px; padding-top: 0px; position: absolute; top: 0px; width: 18px;"></span><a class="sitelinkx" href="http://www.greenerald.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99/%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81" style="border: 0px; color: #999999; margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: none;" target="_blank" title="ธาตุเหล็ก (Iron) ประโยชน์ของธาตุเหล็ก">ธาตุเหล็ก</a> 0.38 มิลลิกรัม 3%</li>
<li style="background-image: none; border: 0px; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 21px; list-style: none; margin: 0px 0px 5px 8px; overflow: hidden; padding: 0px 0px 0px 25px; position: relative;"><span class="icon" style="background-image: url(http://www.greenerald.com/plugins/system/jatypo/jatypo/typo/images/icons-sprites-silk2.png); background-position-x: 0%; background-position-y: -36px !important; background-repeat: no-repeat no-repeat; border: 0px; display: block; height: 18px; left: 0px; margin: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px !important; padding-right: 0px; padding-top: 0px; position: absolute; top: 0px; width: 18px;"></span><a class="sitelinkx" href="http://www.greenerald.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1" style="border: 0px; color: #999999; margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: none;" target="_blank" title="ธาตุแมกนีเซียม (Magnesium) ประโยชน์ของแมกนีเซียม">ธาตุแมกนีเซียม</a> 16 มิลลิกรัม 5%</li>
<li style="background-image: none; border: 0px; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 21px; list-style: none; margin: 0px 0px 5px 8px; overflow: hidden; padding: 0px 0px 0px 25px; position: relative;"><span class="icon" style="background-image: url(http://www.greenerald.com/plugins/system/jatypo/jatypo/typo/images/icons-sprites-silk2.png); background-position-x: 0%; background-position-y: -36px !important; background-repeat: no-repeat no-repeat; border: 0px; display: block; height: 18px; left: 0px; margin: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px !important; padding-right: 0px; padding-top: 0px; position: absolute; top: 0px; width: 18px;"></span><a class="sitelinkx" href="http://www.greenerald.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%AA" style="border: 0px; color: #999999; margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: none;" target="_blank" title="ธาตุแมงกานีส (Manganese) ประโยชน์ของแมงกานีส">ธาตุแมงกานีส</a> 0.086 มิลลิกรัม 4%</li>
<li style="background-image: none; border: 0px; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 21px; list-style: none; margin: 0px 0px 5px 8px; overflow: hidden; padding: 0px 0px 0px 25px; position: relative;"><span class="icon" style="background-image: url(http://www.greenerald.com/plugins/system/jatypo/jatypo/typo/images/icons-sprites-silk2.png); background-position-x: 0%; background-position-y: -36px !important; background-repeat: no-repeat no-repeat; border: 0px; display: block; height: 18px; left: 0px; margin: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px !important; padding-right: 0px; padding-top: 0px; position: absolute; top: 0px; width: 18px;"></span><a class="sitelinkx" href="http://www.greenerald.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9F%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%9F%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%AA" style="border: 0px; color: #999999; margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: none;" target="_blank" title="ธาตุฟอสฟอรัส (Phosphorus) ประโยชน์ของฟอสฟอรัส">ธาตุฟอสฟอรัส</a> 36 มิลลิกรัม 5%</li>
<li style="background-image: none; border: 0px; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 21px; list-style: none; margin: 0px 0px 5px 8px; overflow: hidden; padding: 0px 0px 0px 25px; position: relative;"><span class="icon" style="background-image: url(http://www.greenerald.com/plugins/system/jatypo/jatypo/typo/images/icons-sprites-silk2.png); background-position-x: 0%; background-position-y: -36px !important; background-repeat: no-repeat no-repeat; border: 0px; display: block; height: 18px; left: 0px; margin: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px !important; padding-right: 0px; padding-top: 0px; position: absolute; top: 0px; width: 18px;"></span><a class="sitelinkx" href="http://www.greenerald.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%9E%E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1" style="border: 0px; color: #999999; margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: none;" target="_blank" title="ธาตุโพแทสเซียม (Potassium) ประโยชน์ของโพแทสเซียม">ธาตุโพแทสเซียม</a> 319 มิลลิกรัม 7%</li>
<li style="background-image: none; border: 0px; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 21px; list-style: none; margin: 0px 0px 5px 8px; overflow: hidden; padding: 0px 0px 0px 25px; position: relative;"><span class="icon" style="background-image: url(http://www.greenerald.com/plugins/system/jatypo/jatypo/typo/images/icons-sprites-silk2.png); background-position-x: 0%; background-position-y: -36px !important; background-repeat: no-repeat no-repeat; border: 0px; display: block; height: 18px; left: 0px; margin: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px !important; padding-right: 0px; padding-top: 0px; position: absolute; top: 0px; width: 18px;"></span><a class="sitelinkx" href="http://www.greenerald.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%8B%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1" style="border: 0px; color: #999999; margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: none;" target="_blank" title="ธาตุโซเดียม (Sodium) ประโยชน์ของโซเดียม">ธาตุโซเดียม</a> 6 มิลลิกรัม 0%</li>
<li style="background-image: none; border: 0px; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 21px; list-style: none; margin: 0px 0px 5px 8px; overflow: hidden; padding: 0px 0px 0px 25px; position: relative;"><span class="icon" style="background-image: url(http://www.greenerald.com/plugins/system/jatypo/jatypo/typo/images/icons-sprites-silk2.png); background-position-x: 0%; background-position-y: -36px !important; background-repeat: no-repeat no-repeat; border: 0px; display: block; height: 18px; left: 0px; margin: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px !important; padding-right: 0px; padding-top: 0px; position: absolute; top: 0px; width: 18px;"></span><a class="sitelinkx" href="http://www.greenerald.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%8B%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C" style="border: 0px; color: #999999; margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: none;" target="_blank" title="ธาตุสังกะสี (Zinc) ประโยชน์ของสังกะสี-ซิงค์ 25 ข้อ !!">ธาตุสังกะสี</a> 0.77 มิลลิกรัม 8%</li>
</ul>
% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)</div>
<div style="background-color: white; border: 0px; color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 21px; margin-bottom: 15px; margin-top: 15px; padding: 0px;">
</div>
<span style="font-size: 14px;"></span><br />
<div class="ja-typo-legend legend-rounded legend-2" style="-webkit-box-shadow: rgba(0, 0, 0, 0.498039) 0px 0px 3px; background-color: white; border-bottom-left-radius: 8px; border-bottom-right-radius: 8px; border-top-left-radius: 8px; border-top-right-radius: 8px; border: 3px solid rgb(0, 136, 204); box-shadow: rgba(0, 0, 0, 0.498039) 0px 0px 3px; color: #666666; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 19px; margin: 20px 0px; padding: 20px 15px 15px; position: relative;">
<h2 class="legend-title" style="border: 0px; color: #0088cc; float: left; font-family: Arial, sans-serif; font-size: 17px; left: 10px; line-height: normal; margin: 0px !important; padding: 5px !important; position: absolute; top: -17px;">
<span style="border: 0px; color: blue; margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: underline;"><em style="border: 0px; margin: 0px; padding: 0px;">สรรพคุณมะระขี้นก</em></span></h2>
<ol class="ja-ordered-list" style="border: 0px; margin: 0px; padding: 0px;">
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;">ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ<img alt="มะระ" border="0" src="http://www.greenerald.com/images/Article/8.Healthy-Food/Bitter-gourd2.jpg" style="-webkit-box-shadow: rgba(0, 0, 0, 0.2) 0px 0px 3px; -webkit-transition: all 0.3s ease 0s; border: 1px solid rgb(204, 204, 204); box-shadow: rgba(0, 0, 0, 0.2) 0px 0px 3px; float: right; margin: 5px 10px; padding: 6px; transition: all 0.3s ease 0s;" title="มะระขี้นก" /> จึงมีส่วนช่วยในชะลอความแก่ชราได้</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;">ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรคให้กับร่างกาย (ผล)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;"><span style="border: 0px; color: blue; margin: 0px; padding: 0px;">ช่วยต่อต้านและป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง</span> (ผล)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;"><span style="border: 0px; color: blue; margin: 0px; padding: 0px;">ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในตับอย่างมีประสิทธิภาพ จึงมีส่วนช่วยในการลดความอ้วน</span></li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;">ช่วยป้องกันการตับและหนาตัวของผนังหลอดเลือดแดง</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;">ช่วยยับยั้งเชื้อเอดส์ หรือ HIV (ผล)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;">ช่วยรักษาโรคหอบหืด</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;"><span style="border: 0px; color: blue; margin: 0px; padding: 0px;">ช่วยบำบัดและรักษาโรคเบาหวาน สามารถลดระดับน้ำตาลในกระแสเลือดได้เป็นอย่างดี</span> โดยจะออกฤทธิ์ทันทีหลังรับประทานประมาณ 60 นาที (ผล)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;"><a href="" style="border: 0px; color: #999999; margin: 0px; padding: 0px;" title="ประโยชน์ของมะระ"><strong style="border: 0px; margin: 0px; padding: 0px;">ประโยชน์ของมะระ</strong></a> <span style="border: 0px; color: blue; margin: 0px; padding: 0px;">ช่วยลดความดันโลหิต</span> (ผล)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;">ช่วยให้เจริญอาหาร เพราะมีสารที่มีรสขมช่วยกระตุ้นน้ำย่อยออกมามากยิ่งขึ้น ทำให้รับประทานอาหารได้เพิ่มมากยิ่งขึ้น (ผล,ราก,ใบ)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;">ช่วยบำรุงกำลัง บำรุงธาตุ เพิ่มพูนลมปราณ ด้วยการใช้เมล็ดแห้งของมะระขี้นกประมาณ 3 กรัมต้มกับน้ำดื่ม (ผล,เมล็ด,ใบ)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;">แก้ธาตุไม่ปกติ (ผล,ใบ)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;">ใช้เป็นยาช่วยในการฟอกเลือด (ใบ)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;">ช่วยในการนอนหลับ (ใบ)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;"><span style="border: 0px; color: blue; margin: 0px; padding: 0px;">ช่วยบำรุงสายตา แก้อาการตาฟาง ช่วยในการถนอมสายตา ช่วยทำให้ดวงตาสว่างสดใสขึ้น</span> แก้ตามบวมแดง (ผล)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;">ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ (ใบ)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;">ช่วยดับพิษร้อนในร่างกาย (ผล,ใบ)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;"><a href="" style="border: 0px; color: #999999; margin: 0px; padding: 0px;" title="สรรพคุณมะระขี้นก"><strong style="border: 0px; margin: 0px; padding: 0px;">สรรพคุณมะระขี้นก</strong></a> ช่วยแก้ไข้ที่เกิดจากการถูกความร้อน ด้วยการใช้ผลสดของมะระขี้นก คว้านไส้ออก ใส่ใบชาแล้วประกบกันน้ำแล้วนำไปตากในที่ร่มให้แห้ง รับประทานครั้งละ 6-10 กรัม โดยจะต้มน้ำดื่มหรือชงดื่มเป็นชาก็ได้ (ผล,ราก,ใบ)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;">ช่วยแก้อาการไอเรื้อรัง (ใบ)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;">ช่วยลดเสมหะ (ราก)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;">แก้อาการปากเปื่อยลอกเป็นขุย (ผล,ใบ)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;">ช่วยแก้อาการปวดฟัน ด้วยการใช้รากสดของมะระขี้นกประมาณ 30 กรัม ต้มกับน้ำดื่ม หรือใช้เถาแห้งประมาณ 3 กรัมต้มกับน้ำดื่มก็ได้ (ราก,เถา)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;"><span style="border: 0px; color: blue; margin: 0px; padding: 0px;">ช่วยแก้อาการร้อนในกระหายน้ำ</span> ด้วยการใช้ผลสดของมะระขี้นกต้มรับประทาน หรือจะใช้รากสดของมะระขี้นกประมาณ 30 กรัม ต้มกับน้ำดื่ม หรือใช้เถาแห้งประมาณ 3 กรัมต้มกับน้ำดื่มก็ได้ (ผล,ราก,ใบ,เถา)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;">ช่วยในการย่อยอาหารได้เป็นอย่างดี</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;">ช่วยรักษาโรคกระเพาะ ด้วยการใช้ใบสดของมะระขี้นกประมาณ 30 กรัมต้มกับน้ำดื่ม หรือใช้ใบแห้งบดเป็นผงรับประทานก็ได้ (ใบ)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;"><span style="border: 0px; color: blue; margin: 0px; padding: 0px;">ช่วยรักษาอาการบิด</span> ถ้าถ่ายเป็นเลือดให้ใช้รากสดประมาณ 120 กรัมต้มกับน้ำดื่ม ถ้าถ่ายเป็นเมือกๆ ให้ใช้รากสดประมาณ 60 กรัม น้ำตาลกรวด 60 กรัมนำมาต้มกับน้ำดื่ม (ผล,ใบ,ดอก,เถา)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;"><a href="" style="border: 0px; color: #999999; margin: 0px; padding: 0px;" title="มะระขี้นก สรรพคุณ"><strong style="border: 0px; margin: 0px; padding: 0px;">มะระขี้นก สรรพคุณ</strong></a>ช่วยรักษาอาการบิดถ่ายเป็นเลือดหรือมูกเลือด ด้วยการใช้เถาสดประมาณ 1 กำมือนำมาใช้แก้อาการบิดเลือดด้วยการต้มน้ำดื่ม หรือใช้แก้บิดมูกให้ใส่เหล่าต้มดื่ม (ราก,เถา)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;">แก้อาการจุดเสียด แน่นท้อง (ผล,ใบ)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;"><a href="" style="border: 0px; color: #999999; margin: 0px; padding: 0px;" title="มะระขี้นก สรรพคุณทางยา"><strong style="border: 0px; margin: 0px; padding: 0px;">มะระขี้นก สรรพคุณทางยา</strong></a> <span style="border: 0px; color: blue; margin: 0px; padding: 0px;">ช่วยขับพยาธิ</span> ด้วยการใช้ใบสดของมะระขี้นกประมาณ 120 กรัมนำมาตำคั้นเอาน้ำดื่ม หรือจะใช้เมล็ดประมาณ 3 เมล็ดรับประทานเพื่อขับ</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;">พยาธิตัวกลมก็ได้ (ผล,ใบ,ราก,เมล็ด)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;">ช่วยขับระดู (ใบ)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;">ช่วยบำรุงระดู (ผล)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;"><span style="border: 0px; color: blue; margin: 0px; padding: 0px;">ช่วยรักษาโรคริดสีดวงทวาร</span> (ราก)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;"><a href="" style="border: 0px; color: #999999; margin: 0px; padding: 0px;" title="สรรพคุณของมะระขี้นก"><strong style="border: 0px; margin: 0px; padding: 0px;">สรรพคุณของมะระขี้นก</strong></a> มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ (ผล,ราก,ใบ)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;">ช่วยขับลม (ผล,ใบ)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;">แก้โรคม้าม รักษาโรคตับ (ผล,ราก,ใบ)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;">ช่วยบำรุงน้ำดี (ผล,ราก,ใบ)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;">แก้พิษน้ำดีพิการ (ราก)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;">ใช้แก้พิษ ด้วยการใช้รากสดของมะระขี้นกประมาณ 30 กรัม ต้มกับน้ำดื่ม หรือใช้เถาแห้งประมาณ 3 กรัมต้มกับน้ำดื่มก็ได้ (ผล,ราก,ใบ,เถา)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;"><span style="border: 0px; color: blue; margin: 0px; padding: 0px;">ช่วยรักษาแผลฝีบวมอักเสบ</span> ด้วยการใช้ใบแห้งของมะระขี้นกมาบดให้เป็นผงแล้วชงกับเหล้าดื่ม หรือจะใช้ใบสดนำมาตำให้แหลกคั้นเอาน้ำมาทาบบริเวณที่เป็นผี หรือจะใช้รากแห้งบดเป็นผงแล้วผสมน้ำพอกบริเวณฝี (ผล,ใบ,ราก,เถา)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;">ช่วยรักษาแผลบวมเป็นหนอง ด้วยการใช้ผลสดของมะระขี้นกผิงไฟให้แห้งบดเป็นผงแล้วนำน้ำมาทาหรือพอก หรือใช้ผลสดตำแล้วนำมาพอกก็ได้ (ผล)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;">ใช้เป็นยาฝาดสมาน (ผล,ราก,ใบ)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;">ใช้รักษาแผลจากสุนัขกัด ด้วยการใช้ใบสดของมะระขี้นกมาตำให้แหลก แล้วนำมาพอกบริเวณบาดแผล (ใบ)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;"><a href="" style="border: 0px; color: #999999; margin: 0px; padding: 0px;" title="ประโยชน์ของมะระขี้นก"><strong style="border: 0px; margin: 0px; padding: 0px;">ประโยชน์ของมะระขี้นก</strong></a> ช่วยรักษาโรคหิด ด้วยการใช้ผลแห้งของมะระขี้นกนำมาบดให้เป็นผง แล้วนำมาโรยบริเวณที่เป็นหิด (ผลแห้ง)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;"><span style="border: 0px; color: blue; margin: 0px; padding: 0px;">แก้อาการคันหรือโรคผิวหนังต่างๆ</span> ด้วยการใช้ผลแห้งของมะระขี้นกนำมาบดให้เป็นผง แล้วนำมาโรยบริเวณที่คันหรือทำเป็นขี้ผึ้งใช้ทาแก้โรคผิวหนังต่างๆ (ผลแห้ง)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;">ช่วยดับดิบพิษฝีร้อน (ใบ)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;">ช่วยรักษาโรคลมเข้าข้อ อาการเท้าบวม (ผล,ราก)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;">ช่วยแก้อาการปวดเมื่อยจากลมคั่งในข้อ (ใบ)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;">ช่วยแก้อาการปวดตามข้อนิ้วมือนิ้วเท้า (ผล,ราก)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;">แก้อาการฟกช้ำบวม (ผล,ใบ)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;">ช่วยต่อต้านเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย ยีสต์ โปรโตซัว เชื้อมาลาเรีย (ผล)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;"><span style="border: 0px; color: blue; margin: 0px; padding: 0px;">ช่วยกระตุ้นความรู้สึกทางเพศ</span> ด้วยการใช้เมล็ดแห้งของมะระขี้นกประมาณ 3 กรัม นำมาต้มกับน้ำดื่ม(เมล็ด)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;">มะระขี้นก สามารถนำมาใช้ทำแกงจืดมะระยัดไส้หมูสับได้เช่นเดียวกับมะระจีน แต่ต้องต้มนานหน่อยเพิ่มลดความขม หรือจะนำมาทำเป็นอาหารเผ็ดก็ได้ เช่น แกงเผ็ด พะแนงมะระขี้นกยัดไส้ หรือจะนำไปผัดกับไข่ก็ได้เช่นกัน</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;">ใบมะระขี้นกนิยมนำมารับประทานอาหาร (แต่ไม่นิยมกินสดๆ เพราะมีรสขม)</li>
<li style="border: 0px; line-height: 23px; margin: 0px 0px 0px 30px; padding: 0px;"><a href="" style="border: 0px; color: #999999; margin: 0px; padding: 0px;" title="ประโยชน์มะระขี้นก"><strong style="border: 0px; margin: 0px; padding: 0px;">ประโยชน์มะระขี้นกา</strong></a> แถวอีสานนิยมนำใบมะระขี้นกใส่ลงไปในแกงเห็ดเพื่อทำให้แกงมีรสขมนิดๆ และช่วยเพิ่มความกลมกล่อมมากขึ้น และนำยอดมะระมาลวกเป็นผักจิ้มกับน้ำพริกหรือปลาป่นก็ได้เช่นกัน</li>
</ol>
<br /><em style="border: 0px; margin: 0px; padding: 0px;">แหล่งอ้างอิง : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี , เว็บไซต์ www.rspg.or.th สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ , เว็บไซต์ gotoknow.org , สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)</em></div>
</div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">
<br /></div>
ขอบคุณ http://www.doctor.or.th/article/detail/8931 , http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/thai/knowledgeinfo.php?id=90http://food-plants.blogspot.com/http://www.blogger.com/profile/04223739952562743625noreply@blogger.com3tag:blogger.com,1999:blog-6514530156973123374.post-63760895522024567272012-07-17T11:19:00.001+07:002012-07-17T11:33:28.580+07:00บอระเพ็ด แก้เบาหวาน ยาอายุวัฒนะ บำรุงกำลัง<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhJzTKEVagGqpMQBXeynxdKZ0IRl-cKTrq_pbtCYS6f12zVS_XS3CC1VYiYHI68Oa20zdT-kCXOd-W05RTA2aySx11A027qwrImUtYn9dVbI1o1cXLj8R8_RXx0KKQX49n3cTfisrKYlrI/s1600/%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B9%87%E0%B8%941.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="204" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhJzTKEVagGqpMQBXeynxdKZ0IRl-cKTrq_pbtCYS6f12zVS_XS3CC1VYiYHI68Oa20zdT-kCXOd-W05RTA2aySx11A027qwrImUtYn9dVbI1o1cXLj8R8_RXx0KKQX49n3cTfisrKYlrI/s320/%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B9%87%E0%B8%941.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
<br /><br />
<table cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody>
<tr class=" "><td width="130"><div style="font-weight: bold;">
ชื่อสมุนไพร</div>
</td><td class="text_normal">บอระเพ็ด</td></tr>
<tr class=" "><td><div style="font-weight: bold;">
ชื่ออื่นๆ</div>
</td><td class="text_normal">เครือเขาฮอ (หนองคาย) จุ่งจิง (เหนือ) เจตมูลหนาม (หนองคาย) ตัวเจตมูลยาน เถาหัวด้วน(สระบุรี) หางหนู(สระบุรี อุบลราชธานี) จุ้งจาลิงตัวแม่ เจตมูลย่าน</td></tr>
<tr class=" "><td><div style="font-weight: bold;">
ชื่อวิทยาศาสตร์</div>
</td><td class="text_normal"><span style="font-style: italic;">Tinospora crispa </span> (L.) Miers ex Hook.f. & Thomson</td></tr>
<tr class=" "><td><div style="font-weight: bold;">
ชื่อพ้อง</div>
</td><td class="text_normal"><span style="font-style: italic;">Tinospora tuberculata </span> Miers, Tinospora rumphii Boerl., Tinospora nudiflora Kurz.</td></tr>
<tr class=" "><td><div style="font-weight: bold;">
ชื่อวงศ์</div>
</td><td class="text_normal">Menispermaceae</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<span style="background-color: yellow;"><strong>จากประสบการณ์ผมเองนะครับ</strong></span><br />
<br />
<span style="background-color: #fff2cc;">ผมเคยใช้ บอระเพ็ดนี้ 3 แบบครับและก็ได้ผลดีจริงๆ</span><br />
<span style="background-color: #fff2cc;">1 ใช้ในการรักษาคนเป็นเบาหวาน ให้ทานสดหรือต้มดื่มน้ำเช้าเย็นเลยครับ รสชาติจะขมมาก แต่จะช่วยไปลดน้ำตาลในเลือดได้ดีครับ</span><br />
<span style="background-color: #fff2cc;">2 ใช้ในการต้มอาบหรือแช่ โดยใช้ร่วมกับเหงือกปลาหมอ จะเป็นยาที่ช่วยบำรุงระบบน้ำเหลืองให้ดีขึ้นและจะรักษาโรคผิวหนังได้ด้วย</span><br />
<span style="background-color: #fff2cc;">3 ให้วัว ทานตอนที่ไม่ยอมกินหญ้า หลังจากกรอกปากไป 1 วัน วัวกลับมากินหญ้ามากขึ้นตัวก็จะใหญ่เร็วขึ้นครับขายได้ราคาดี</span><br />
<br />
<span style="font-size: 14px;"><span style="font-size: 14px;"><span style="font-size: small;"><strong><span style="background-color: yellow; text-decoration: underline;">ผลงานการวิจัย</span></strong></span></span></span><br />
<br />
<span style="font-size: 14px;"><span style="font-size: 14px;"><span style="font-size: small;">1.ฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดพบว่าสารสกัดจากลำต้นบอระเพ็ดด้วย 95% เอธานอล มีฤทธิ์ทำให้ oral glucose tolerance (OGT) ของหนูขาวปกติดีขึ้นเมื่อเปรียบกับกลุ่มควบคุมโดยระดับน้ำตาลจะลดลง 12.15% และ 12.84% หลังจากป้อนสารสกัดให้กับหนูขาว 4 และ 6 ชั่วโมงตามลำดับ อย่างไรก็ตามสารสกัดดังกล่าวไม่มีผลลดระดับน้ำตาลในเลือดของหนูขาวปกติในทุก ๆ ความเข้มข้นที่ใช้ทดลอง (กัลยาและคณะ,2541) สารสกัดจากชั้นน้ำของลำต้นบอระเพ็ดสามารถลดระดับกลูโคสในเลือดและเพิ่มระดับ insulin ในเลือดในหนูที่เป็นเบาหวานได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมแต่ไม่มีผลในหนูปกติ(Noorandcroft,1989) กลไกในการออกฤทธิ์ของสารสกัดจากบอระเพ็ดพบว่าออกฤทธิ์โดยการกระตุ้นการหลั่ง insulin ที่เบตาเซลล์ทำให้เบตาเซลล์มีความไวต่อความเข้มข้นของ Ca2+ ภายนอกเซลล์ส่งเสริมให้เกิดการสะสมของ Ca2+ใน เซลล์และทำให้เกิดการหลั่งของ insulin โดยไม่รบกวนการดูดซึมของกลูโคสจากทางเดินอาหารและไม่รบกวนการนำกลูโคสเข้า peripheral cell<br /><br />2.ฤทธิ์ลดไข้มีรายงานการศึกษาฤทธิ์ลดไข้ของสารสกัดจากชั้นน้ำของลำต้นบอระเพ็ดในหนูขาวเพศผู้ที่ถูชักนำให้เกิดไข้ด้วยวัคซีนไทฟอยด์ขนาด 0.6ml./ตัวพบว่าสารสกัดบอระเพ็ดขนาด 300,200,100 mg./kg. น้ำหนักตัวสามารถลดไข้ได้หลังป้อนสารสกัดบอระเพ็ดในชั่วโมงที่1,2 และตามลำดับแต่มีประสิทธิภาพอ่อนกว่า แอสไพริน (บุญเทียมและคณะ,1994)<br /><br />3.ฤทธิ์ช่วยเจริญอาหารเนื่องจากความขมของบอระเพ็ดจึงสามารถใช้เป็นยาที่ทำให้เจริญอาหารได้ (รุ่งระวีและคณะ,2529)<br /><br />4.ฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระมีรายงานการศึกษาฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระของบอระเพ็ดพบว่าสารสกัด 3 ชนิด ได้แก่ N-trans-feruloyltyramine, N-cisferuloyltyramine, secoisolariciresinol มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระมากกว่า BHT ซึ่งใช้เป็นสารมาตรฐาน (Cavin et al.,1997)<br /><br />5.ฤทธิ์ ในการต้านมาลาเรียมีรายงานการ ศึกษาฤทธิ์ในการต้านมาลาเรียของสารสกัดในชั้นเมธานอลและคลอโรฟอร์มพบว่าไม่มีฤทธิ์ในการต้านมาลาเรีย (Rahman etal.,1999)<br /><br />6.ฤทธิ์ในการต้านเชื้อแบคทีเรียมีการศึกษาฤทธิ์ในการต้านแบคทีเรียของสารสกัดจากใบและลำต้นในชั้นเอธานอลของบอระเพ็ดต่อเชื้อ Staphylococcus aureus beta-Streptococcus gr.A Klebsiella pneumoniae และ Pseudomonas aeruginosa พบว่าสารสกัดจากชั้นเอธานอลของลำต้นบอระเพ็ดมีฤทธิ์ในการต้าน betastreptococcus gr.A (Laorpaksa et al., 1988) พิษวิทยา</span></span></span><br />
<br />
<span style="font-size: 14px;"><span style="font-size: 14px;"><br /> </span></span><br />
<br />
<span style="font-size: 14px;"><span style="font-size: small;"><strong><span style="text-decoration: underline;">การทดสอบความเป็นพิษ(Chavalittumrong,1997)</span></strong>- การทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลันจากการศึกษาพิษเฉียบพลันของสารสกัดด้วยเอธานอลของลำต้นบอระเพ็ด โดยให้ทางปากแก่หนูถีบจักรพบว่าเมื่อให้สารสกัดในขนาด 4g ต่อน้ำหนักหนู 1 kg. (g./kg.) หรือเทียบเท่ากับลำต้นแห้ง 28.95 g./kg. ไม่ทำให้เกิดอาการพิษ<br /><br />-การทดสอบความเป็นพิษเรื้อรัง จากการศึกษาพิษเรื้อรังของสารสกัดด้วยเอธานอลโดยการกรอกสารสกัดของบอระเพ็ดขนาดต่าง ๆ แก่หนูขาว ติดต่อกันเป็นเวลา 6 เดือน พบว่า สารสกัดในขนาด 0.02 g/น้ำหนักหนู 1 kg./day (g./kg./day) ซึ่งเทียบเท่ากับขนาดที่ใช้ในคนไม่มีผลต่อการเจริญเติบโตหรือการกินอาหารของหนู และไม่ทำให้เกิดความผิดปกติของค่าทางโลหิตวิทยาหรือค่าทางชีวเคมีของซีรั่ม รวมทั้งไม่ทำให้เกิดพยาธิสภาพของอวัยวะภายในต่าง ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมแต่หนูที่ได้รับสารสกัดในขนาด1.28 g./kg./day หรือ 64 เท่าของขนาดที่ใช้ในคนมีอัตราการเกิด bile duct proliferationและ focal liver cell hyperplasia รวมทั้งมีค่าของเอนไซม์ alkaline hosphatase และ alanine aminotransferase และ ค่าครีอะตินินสูงกว่ากลุ่มควบคุมแสดงให้เห็นว่าสารสกัดบอระเพ็ดในขนาดต่ำ เช่น ขนาดที่ใช้ในคนไม่ทำให้เกิดความผิดปกติใด ๆ ในสัตว์ทดลองแต่ในขนาดที่สูงอาจทำให้เกิดความผิดปกติของการทำงานของตับและไตได้</span><span style="text-decoration: underline;"><br /><br /><strong><span style="font-size: small;">วิธีการใช้ตามภูมิปัญญาไทย</span></strong></span><br /><span style="font-size: small;"> 1.ใช้เถาบอระเพ็ดหั่นตากแห้ง แล้วบดเป็นผงผสมกับน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกกลอนกินก่อนนอน วันละ 2-4 เม็ด ใช้เป็นยาอายุวัฒนะใช้เถาสดดองเหล้าความแรง 1 ใน 10 รับประทานครั้งละ 1 ช้อนชาของยาที่เตรียม<br /> 2.กินบอระเพ็ดสดวันละ 2 องคุลีทุกวัน เป็นยาขมช่วยให้เจริญอาหาร และป้องกันไข้มาเลเรีย<br /> 3.เป็นยาขมแก้ไข้ นำเถาบอระเพ็ดมาตากแห้งบดเป็นผงปั้นเป็นลูกกลอนกินวันละ 3 เวลาก่อนอาหารถ้าบรรจุแคปซูล กินวันละ 2-3 เวลา หรือใช้เถาสดยาว 2-3 คืบ (30-40 กรัม) ใส่น้ำท่วมยานำไปต้มแล้วดื่มหรือต้มเคี่ยวกับน้ำ 3 ส่วน ต้มจนเหลือ 1 ส่วน ดื่มก่อนอาหาร วันละ 2-3 ครั้งเมื่อมีไข้ (ยุวดี จอมพิทักษ์, 2532)<br /> 4.ใช้เถาหรือต้นสดครั้งละ 2 คืบครึ่ง (30-40 กรัม) ตำแล้วคั้นเอาน้ำดื่ม หรือต้มกับน้ำโดยใช้น้ำ 3 ส่วน ต้มเคี่ยวให้เหลือ 1 ส่วน ดื่มก่อนเวลาช่วยลดไข้<br /> 5.ใช้รากและเถา ตำผสมมะขามเปียกและเกลือหรือดองเหล้ารับประทานครั้งละ 1 ช้อนชา แก้ไขลดความร้อน (ยุวดี จอมพิทักษ์, 2532)<br /> 6.ใช้เถาที่โตเต็มที่ตากแห้งแล้วบดเป็นผงใช้ผงครั้งละ 1 ช้อนชา ชงน้ำร้อนดื่ม วันละ 2 เวลา เช้า-เย็น หรือใส่ในแคปซูลเพื่อให้สะดวกในการใช้ ใช้รักษาโรคเบาหวาน<br /><br />ขอขอบคุณข้อมูลจาก </span><span style="font-size: small;">gooherb</span><span style="font-size: small;"> , http://www.phargarden.com ขอขอบคุณรูปภาพจากhttp://www.phargarden.com</span></span><br />
<br />
<span style="font-size: 14px;"><br /><strong>องค์ประกอบทางเคมี </strong> <br /><strong>เถา</strong>มีสารขมชื่อ picroretin, columbin, picroretroside, ไดเทอร์ปีนอยด์ชื่อ tinosporan, columbin สารประเภทเอมีนที่พบคือ N-trans-feruloyl tyramine, N-cis-feruloyl tyramine สารฟีโนลิค ไกลโคไซด์ คือ tinoluberide</span>http://food-plants.blogspot.com/http://www.blogger.com/profile/04223739952562743625noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6514530156973123374.post-82266533655366634342012-07-12T11:15:00.000+07:002012-07-12T11:21:54.210+07:00ดีปลี แก้พิษอัมพฤกษ์ หนึ่งในยาอายุวัฒนะ แก้ทองอืด แก้หืดหอบ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjgbRCG7S_Sn8XFkkDHrUYaTeVV8t-QlRySJ865MeoutQldO9EWdY0OjdDArujg3Wy_FEhAgP321RaeihPcBX3AxLULyIZtg8R4aC1JSHrsCOma8QxtXOpGlLHYd4bK9m1W6rGbKr1sHpQ/s1600/%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B5.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjgbRCG7S_Sn8XFkkDHrUYaTeVV8t-QlRySJ865MeoutQldO9EWdY0OjdDArujg3Wy_FEhAgP321RaeihPcBX3AxLULyIZtg8R4aC1JSHrsCOma8QxtXOpGlLHYd4bK9m1W6rGbKr1sHpQ/s320/%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B5.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
<br />
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Piper retrofractum Vahl<br />
<br />
ชื่อสามัญ : long pepper<br />
<div class="MsoNormal" style="line-height: 150%; margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: left;">
<span lang="TH" style="color: blue; font-family: Tahoma; line-height: 150%; mso-bidi-font-size: 12.0pt;">ชื่อพื้นเมือง</span><span style="color: blue; font-family: Tahoma; line-height: 150%; mso-bidi-font-size: 12.0pt;">
</span><span style="font-size: small;"><span lang="TH" style="color: black; font-family: Tahoma; line-height: 150%; mso-bidi-font-size: 12.0pt;">กลาง ประดงข้อ ปานนุ</span><span style="color: black; font-family: Tahoma; line-height: 150%; mso-bidi-font-size: 12.0pt;">,
<span lang="TH">ใต้ ดีปลีเชือก</span>, <span lang="TH">บางแห่งเรียกว่า
พิษพญาไฟ</span></span></span><br />
วงศ์ : Piperaceae</div>
<div class="MsoNormal" style="line-height: 150%; margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: left;">
<span lang="TH" style="color: red; font-family: Tahoma; line-height: 150%; mso-bidi-font-size: 12.0pt;">ข้อควรระวัง</span><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; line-height: 150%; mso-bidi-font-size: 12.0pt;"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span>สตรีมีครรภ์ ห้ามรับประทาน
อาจแท้ง ได้</span></div>
<div class="MsoNormal" style="line-height: 150%; margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: left;">
<span lang="TH" style="font-family: Tahoma; line-height: 150%; mso-bidi-font-size: 12.0pt;"></span><br />
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้เถารากฝอยออกบริเวณข้อเพื่อใช้ยึดเกาะ ใบ เดี่ยวรูปไข่แกมขอบขนาน กว้าง 3-5 ซม. ยาว 7-10 ซม. สีเขียวเข้มเป็นมัน ดอก ช่อ ออกที่ซอกใบ ดอกย่อยอัดกันแน่น แยกเพศ ผล เป็นผลสด มีสีเขียว เมื่อสุกจะเปลี่ยนเป็นสีแดง รสเผ็ดร้อน<br />
<br />
<span style="color: blue;"><b>ทำความรู้จักกับดีปลี</b></span><br />
<br />
ดีปลีเป็น เป็นพืชเดียวกันกับชะพลูและพลู กลิ่นหอมแนเป็นสิ่งคู่กันกับพืชในวงศ์นี้ เพราะมีน้ำมันหอมระเหยซ่อนอยู่ในใช <br />
ลำต้น และผลดีปลีนั้นจะว่าไปก็เหมือนพืชผักที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักได้ยินแต่ชื่อว่าเป็นเครื่องเทศชนิดหนึ่ง แต่ต้น ผล ใบนั้นจะ<br />
มีรูปร่างอย่างไรก็ไม่รู้ <br />
<br />
อย่าว่าแต่ต้นเลย ดีปลีที่เป็นเครื่องเทศแล้วก็คงมีไม่มากคนที่รู้จัก นอกจากคนที่ต้องใช้บ่อย ๆ <br />
<br />
ตามพื้นที่ที่มีฝนตกชุก มีความชื้นสูง มักจะมีพืชในวงศ์ PIPERACEAE หรือวงศ์พริกไทย ขึ้นได้ดีมีมากมาย พืชใน<br />
วงศ์นี้ก็ได้แก่พริกไทย ชะพลูและพลู ดีปลีของเราก็เป็นหนึ่งในสมาชิกวงศ์พืชดังกล่าวนี้ด้วย ดีปลีนั้นเติบโตได้ดีในทุกภาค <br />
ขอเพียงให้ชุ่มชื้น มีแดดเพียงร่มรำไร ดีปลีก็แตกดอกออกผลให้คนมาเก็บไปกิน และเก็บไปตากแห้งทำยา ทำเครื่องเทศ<br />
ปรุงรสปรุงกลิ่นอาหารให้น่ารับประทาน </div>
<strong><span style="color: blue;">คุณสมบัติทางยา</span></strong><br />
ส่วนที่ใช้เป็นยา เถา ใบ ดอก ราก ผลแก่แห้ง ช่วงเวลาที่เก็บ นิยมเก็บผลเมื่อเริ่มเป็นสีน้ำตาล นำมาตากแดดให้แห้ง<br />
<br />
<strong><span style="background-color: yellow;">รสและสรรพคุณในตำรายาไทย</span></strong><br />
<br />
<span style="background-color: yellow;">เถา รสเผ็ดร้อน แก้เสมหะพิการ แก้ปวดฟัน ปวดท้อง จุกเสียด แก้ริดสีดวงทวาร<br /> แก้ลม เจริญอาหาร <br /><br />ใบ รสเผ็ดร้อน แก้เส้นสุมนา (เส้นศูนย์กลางลำตัว)<br /><br />ดอก รสเผ็ดร้อนขม แก้ปถวีธาตุพิการ แก้ท้องร่วง ขับลมในลำไส ้ แก้หืดหอบ <br /> แก้ลมวิงเวียน แก้ริดสีดวงทวารหนัก แก้คุดทะราด เจริญอาหาร<br /><br />ราก รสเผ็ดร้อนขม แก้เส้นอัมพฤกอัมพาต ดับพิษปัตตฆาต แก้หืดหอบ แก้ลมวิงเวียน<br /> แก้เสมหะ แก้ปวดท้อง บำรุงธาตุ</span><br />
<br />
<span style="color: blue;"><b>คุณค่าทางอาหาร</b></span><br />
<br />
<div align="center">
</div>
<br />
ทางปักษ์ใต้เจ้าของอาหารรสจัดจ้านร้อนแรงก็ย่อมมีดีปลีเป็นส่วนประกอบ แต่ที่เด็ดขาดกว่าใครก็คือกินลูกอ่อนของดีปลี<br />
เป็นผักสด เข้าใจว่าเมื่อเป็นลูกอ่อนนั้นน่าจะรับประทานง่ายไม่ฉุนเท่าเมื่อเป็นเครื่องเทศ <br />
<br />
เครื่องเทศที่ว่านั้นได้มาจากผลสุก นำมาตากแห้งใช้ประกอบกับแกงคั่ว แกงเผ็ด เพื่อดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ในอาหาร<br />
บางที่ก็นำมาแต่งกลิ่นผักดอง <br />
<br />
<br />
<span style="color: blue;"><b>ลักษณะทั่วไปของดีปลี</b></span><br />
<br />
เถาดีปลีนั้นมีรากออกตามข้อสำหรับเกาะ และเลื้อยพัน เถาค่อนข้างเหนียวและแข็งมีข้อนูน แตกกิ่งก้านมาก ใบเป็นใบเดี่ยว<br />
ออกสลับ ใบเป็นรูปไข่แกมขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนใบมน ใบเป็นมัน <br />
<br />
ดอก ออกเป็นช่อตรงข้ามกัน ลักษณะเป็นแท่ง ปลายเรียวมน ผลเล็ก กลม ฝังตัวกับช่อดอก <br />
<br />
ผลอ่อนสีเขียว รสเผ็ด เมื่อสุกเป็นสีแดง <br />
<br />
<br />
<span style="color: blue;"><b>การปลูกและดูแลรักษาดีปลี</b></span><br />
<br />
<div align="center">
</div>
<br />
ดีปลีชอบความชื้นสูง หากฝนตกชุกก็เป็นที่ถูกใจ เพียงกิ่งแก่ ๆ มาปักชำรดน้ำฉ่ำชุ่ม พอรากงอกและต้นตั้งตัวได้ก็นำ<br />
ลงปลูกในแปลงที่เตรียมไว้ สำหรับหลักให้เลื้อยพันนั้นมักนิยมใช้เสาไม้ที่แข็งแรงหรือใช้เสาซีเมนต์ หรืออาจปล่อย<br />
ให้ไต่ไปบนรั้ว กำแพงหรือต้นไม้อื่น ๆ ดีปลีนิสัยดี ไม่แย่งอาหารจากต้นไม้อื่น แต่ขออาศัยยึดเกาเฉย ๆ ใช้พื้นที่<br />
เพียงเล็กน้อยก็สามารถเป็นเจ้าของเถาดีปลีได้ หรือจะปลูกเป็นไม้ประดับชมใบสีเขียวสดดูชุ่มชื้น หรือดูผลที่เป็นสีเหลือง<br />
เมื่อจวนสุก แดงเมื่อสุกแล้ว พราวไปทั้งเถาที่เป็นที่นิยม <br />
<br />
<br />
<span style="color: blue;"><b>ประโยชน์ของดีปลี</b></span><br />
<br />
<div style="text-align: left;">
ผลสุกของดีปลีมีน้ำมันหอมระเหย ในน้ำมันของดีปลีตามการวิจัยของสถาบันการแพทย์แผนไทยบอกว่ามีฤทธิ์ฆ่าแมลงด้วงงวง<br />
และด้วงถั่ว ถ้าหากนำมาสกัดเป็นสารกำจัดแมลงสูตรจากธรรมชาติก็ไม่เลว <br />
<br />
คุณประโยชน์ด้านสมุนไพรของดีปลีนั้นมากมายมหาศาล เริ่มตั้งแต่ลำต้นหรือเถา รสเผ็ดร้อน แก้ปวดฟัน จุกเสียด<br />
แก้ริดสีดวงทวาร ช่วยเจริญอาหาร ดอกนั้นรสเผ็ดร้อนขม แก้ท้องร่วง ขับลมในลำไส้ แก้หืดหอบ แก้ลม วิงเวียนปรุงเป็นยาธาตุ <br />
แก้ตับพิการ รากรสเผ็ดร้อนขม แก้หืดหอบ แก้ลมวิงเวียน แก้เสมหะ แก้ปวดท้อง บำรุงธาตุ แก้เส้นอัมพฤกษ์ อัมพาต <br />
<br />
ดอกแก่ต้มน้ำดื่มแก้ ท้องอืดท้องเฟ้อและช่วยให้หายวิงเวียน ส่วนหากจะแก้ไข ให้ใช้ดอกแก่แห้งครึ่งกำมือฝนกับ<br />
น้ำมะนาว กวาดคอหรือจิบบ่อย ๆ <br />
<br />
คุณประโยชน์หลายสถานนี่เอง ดีปลีจึงมีชื่ดีตั้งแต่ชื่อจนถึงต้นเถา </div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: blue;"><strong>ความลับของดีปลี</strong></span></div>
<div style="text-align: left;">
<br />
๑. แก้ไอขับเสมหะ ใช้ดีปลี ๑ ผล เกลือป่น ๑ ช้อนชา น้ำมะนาว ๑ ซีก</div>
<div style="text-align: left;">
<br />
ฝนดีปลีเติมมะนาว เกลือให้เข้ากัน นำมากวาดคอ หรือจิบก็ได้ </div>
<div style="text-align: left;">
<br />
แก้ ไอ ขับเสมหะ</div>
<div style="text-align: left;">
<br />
๒. เจ็บในลำคอ ใช้ดีปลี ๓ ดอก ผิวมะนาว ๑ ลูก พริกไทยร่อน ๓ เม็ด</div>
<div style="text-align: left;">
<br />
หัวกระเทียม ๓ กลีบ</div>
<div style="text-align: left;">
<br />
ทั้งหมดตำละเอียด ผสมน้ำมะนาว คลุกให้เข้ากัน ปั้นเป็นลูกกลอน</div>
<div style="text-align: left;">
<br />
ขนาดเม็ดพุทรา ใช้อมบ่อยๆ รักษาอาการเจ็บใน ลำคอ</div>
<div style="text-align: left;">
<br />
๓. แก้ท้องอึดเฟ้อ แน่นจุกเสียด ใช้ดอกดีปลีแก่ๆ ๑ กำมือ </div>
<div style="text-align: left;">
<br />
( ๑๐-๑๕ ดอก)</div>
<div style="text-align: left;">
<br />
ต้มเอาน้ำดื่ม ใช้เถาต้มแทนก็ได้</div>
<div style="text-align: left;">
<br />
๔. ยาอายุวัฒนะ ใช้ดอกดีปลี ๑๐ ดอก พริกไทย ๑๐ เม็ด </div>
<div style="text-align: left;">
<br />
หัวแห้ว หมู ๑๐ หัว</div>
<div style="text-align: left;">
<br />
ตำละเอียด ผสมน้ำผึ้งแท้ รับประทาน ก่อนนอนทุกคืน </div>
<div style="text-align: left;">
<br />
เป็น ยาอายุวัฒนะ ( ยานี้ให้ทำเฉพาะวันเสาร์ รับประทานให้หมดภายใน ๑ วัน)</div>
<div style="text-align: left;">
<br />
ยาสมุนไพรขับน้ำคาวปลา ขับเลือดลม</div>
<div style="text-align: left;">
<br />
๑. ดอกดีปลี</div>
<div style="text-align: left;">
<br />
๒. เถาสะค้า</div>
<div style="text-align: left;">
<br />
๓. รากเจตมูลเพลิง</div>
<div style="text-align: left;">
<br />
๔. ลูกจันทน์ ดอกจันทน์ กระวาน กานพลู</div>
<div style="text-align: left;">
<br />
๕. กระเทียม</div>
<div style="text-align: left;">
<br />
๖. พริกไทย</div>
<div style="text-align: left;">
<br />
๗. กำจัด กำจาย</div>
<div style="text-align: left;">
<br />
๘. แก่นขี้เหล็ก</div>
<div style="text-align: left;">
<br />
๙. หางไหลแดง</div>
<div style="text-align: left;">
<br />
๑๐ หัสคุณเทศ</div>
<div style="text-align: left;">
<br />
๑๑. เทียนดำ</div>
<div style="text-align: left;">
<br />
วิธีทำ</div>
<div style="text-align: left;">
<br />
ตัวยาทั้งหมดเสมอภาค โขลกพอหยาบๆ ห่อผ้าขาวบาง </div>
<div style="text-align: left;">
<br />
ผูกห่อผ้าไว้ ให้แน่น</div>
<div style="text-align: left;">
<br />
ดองในเหล้าขาวหรือเหล้าโรง ๓-๔ ขวด ดองนาน ๑ เดือน</div>
<div style="text-align: left;">
<br />
วิธีใช้</div>
<div style="text-align: left;">
<br />
ให้ดื่มเมื่อคลอดลูกแล้ว ๓๐ วัน ดื่มครั้งละ ๑ ถ้วยตะไล </div>
<div style="text-align: left;">
<br />
เช้า-เย็น ก่อนอาหาร</div>
<div style="text-align: left;">
<br />
สรรพคุณ</div>
<div style="text-align: left;">
<br />
ขับเลือดลม ขับน้ำคาวปลา ใช้แก้โรคลมได้ทุกชนิด </div>
<div style="text-align: left;">
<br />
ผู้หญิง หลังคลอดลูก</div>
<div style="text-align: left;">
<br />
อยู่ไฟไม่ได้ จะได้ผลดีมาก หากใช้ยานี้ มด ลุกจะแห้ง เข้าอู่ดี</div>
<div style="text-align: left;">
<br />
บำรุงกำลัง บำรุงร่างกาย</div>
<div style="text-align: left;">
</div>
<div style="text-align: left;">
</div>
<div style="text-align: left;">
<br />
<br />
<a href="http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/st2545/5-4/no11/main/deepree_ya.html" target="_blank">เวบไซด์อ้างอิง</a><br />
<br />
Climbing root ต้นดีปลี <br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_06_3.htm</div>http://food-plants.blogspot.com/http://www.blogger.com/profile/04223739952562743625noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6514530156973123374.post-73796868769902374762012-07-10T18:37:00.000+07:002012-07-10T18:37:56.253+07:00จิงจูฉ่าย ป้องกันมะเร็ง ฟอกเลือด<div align="center">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEivW8BfJQqd-fw_TKd9EArSylDU8_ryEzugritLNOzbUoUs78-GVnBDS42KNayz77gngpQrvwSgDIMu5f9lGNwwIhmqLvmgtkppAhZBmIF1Yh-S6CqC2btyVTEzAcdiByAOrowOKz6ZJqA/s1600/%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B9%E0%B8%89%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEivW8BfJQqd-fw_TKd9EArSylDU8_ryEzugritLNOzbUoUs78-GVnBDS42KNayz77gngpQrvwSgDIMu5f9lGNwwIhmqLvmgtkppAhZBmIF1Yh-S6CqC2btyVTEzAcdiByAOrowOKz6ZJqA/s320/%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B9%E0%B8%89%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
<strong><span style="background-color: magenta;">จิงจูฉ่าย (ผักที่ใส่ต้มเลือดหมู)</span></strong><br />
<br />
ดอกแก้วเมืองจีน, จิงจูฉ่าย (SAGE BRUSH) อยู่ในวงศ์ COMPOSITAE (ASTERACEAE) <br />
Family ชื่อพฤกษศาสตร์ (Botanical name) Habit ชื่อสามัญไทย <br />
COMPOSITAE Artemisia lactiflora Wall. ex Bess. var. genuina Pampan ExH ดอกแก้วเมืองจีน <br />
ที่มา : สารบัญหนังสือ "ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย” ศ.ดร.เต็ม สมิตินันทน์ <br />
<br />
<br />
สรรพคุณทางสมุนไพร <br />
จิงจูฉ่าย เป็นหนึ่งในผลผลิตดอยคำในหมวดสมุนไพร ของมูลนิธีโครงการหลวง ที่มีผลผลิตตลอดทั้งปี <br />
จิงจูฉ่าย เป็นผัดชนิดหนึ่งที่มีกลิ่นหอม แพทย์จีนเชื่อกันว่าเป็นยาเย็นและช่วยแก้ไข้ได้ นอกจากนี้ ความเย็นของจิงจูฉ่าย<span style="background-color: #ffe599; color: magenta;"> ยังมีสรรพคุณช่วยบำรุงปอด ช่วยฟอกเลือด ทำให้เลือดอุ่นและไหลเวียนได้ดี คนจีนจึงนิยมนำผักชนิดนี้มาปรุงเป็นอาหารรับประทานในหน้าหนาว</span> (ที่มา: นิตยสาร HEALTH & CUISINE ฉบับที่ 38 ประจำเดือน มีนาคม 2547) <br />
<br />
เรื่องเล่าของผู้มีประสบการณ์จริง<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<span lang="TH" style="font-size: 12pt;">ผม..นิกกี้ อิทธิเกษม </span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">KU37
</span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">อดีตนายกสมาคมม.เกษตรฯแห่งอเมริ<wbr></wbr>กา
จะขอเล่าประสบการณ์ที่เคยสัมผั<wbr></wbr>สมากับตัวเองเมื่อปี </span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">2007
</span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">เพื่อเป็น</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">case</span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">ตัวอย่างและเป็<wbr></wbr>นทางออกให้กับผู้ป่วยโรคมะเร็<wbr></wbr>งทั้งหลาย</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"><br />
</span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">ผมมีร้านอาหารอยู่ในเขต</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">N.<wbr></wbr>Hooywood
</span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">วันหนึ่งกลางปี</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">2007
</span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">ผมได้มีโอกาสเจอลูกศิษย์เก่าที่<wbr></wbr>เคยมาเรียนแจกไพ่ที่ร้าน
ถามทุกข์สุขกันไปมา ถึงได้รู้ว่าเขาเคยเป็นมะเร็งที<wbr></wbr>่คอ </span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">1 </span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">ครั้ง</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">,</span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">มะเร็งที่ต่อมลูกหมาก </span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">1 </span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">ครั้ง ปัจจุบันหายเป็นปลิดทิ้ง
รวมทั้งพี่น้องญาติอีก</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">8</span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">คนที่เป็<wbr></wbr>นมะเร็งภายในเวลา</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">5</span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">ปี ทุกคนหายหมด
ผมจึงเกิดความกระตือรือร้นที่<wbr></wbr>จะถามว่า มีวิธีรักษากันอย่างไร</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">?<br />
</span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">วันนั้นคุณแม่เขามาด้วยจึงอธิ<wbr></wbr>บายให้ฟังว่า</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> "</span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">ฉันมีต้นจิงจูฉ่ายอยู่ในสวนหลั<wbr></wbr>งบ้านเยอะ
ปกติก็จะใส่ในแกงจืดให้ลูกๆกิ<wbr></wbr>นเป็นประจำ</span><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">เพราะคนจีนบอกต่อๆกันมาถึ<wbr></wbr>งสรรพคุณช่วยฟอกเลือดและขั<wbr></wbr>บสารพิษออกจากร่างกายทำให้ลู<wbr></wbr>กๆไม่ค่อยเป็นอะไร
<span style="background-color: yellow; color: red;">วันหนึ่งลูกฉันไปตรวจหมอกลับมา บอกว่าเป็นมะเร็ง</span></span><span style="background-color: yellow;"><span style="color: red;"><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">อีก</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">2</span></span></span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;"><span style="background-color: yellow; color: red;">เดือนต้<wbr></wbr>องไปฉายแสง
ฉันจึงลองเอา</span><b><span style="background-color: yellow; color: red;">จิงจูฉ่าย</span></b></span><span style="color: red;"><span style="background-color: yellow;"><b><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">1</span></b><b><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">กำมื<wbr></wbr>อมาตำ จะได้น้ำออกมาแก้ว(เล็ก)หนึ่ง
ให้เขากินตอนเช้าทุกวัน</span></b><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> 2</span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">เดื<wbr></wbr>อนถัดมาไปตรวจหมอ หมอถามไปทำอะไรมา
ทุกอย่างปกติหมด</span><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">มะเร็งได้หายไปแล้ว</span></span></span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"><span style="background-color: yellow; color: red;">"</span>
</span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">หลังจากคุยกันพักหนึ่ง
ผมก็ได้ข้อสรุปออกมาว่า คน</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">8</span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">คนเป็นมะเร็งในที่ต่างกัน กินน้ำจิงจูฮวยฉ่าย
</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">2-3</span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">เดือน ทุกคนหายหมด(ไม่มีใครต้องทำคี<wbr></wbr>โมเลย)
ผมจึงเกิดความเชื่อถือขึ้<wbr></wbr>นมาระดับหนึ่ง</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"><br />
</span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">ก่อนหน้านั้น พี่สะใภ้ผม</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">2</span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">คน(ปี</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">2006)
</span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">เป็นมะเร็งที่เต้านม</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">,</span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">มดลูก คนหนึ่งต้องทำคีโม ใช้วิธี</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">"</span><b><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">นั่งสมาธิ</span></b><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">"</span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">ทุกวัน </span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">8</span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">เดือน</span><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">หายเป็นปกติ</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"><br />
</span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">ต่อมาผมได้ต้นจิงจูฉ่ายมา</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">1</span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">ต้น จากคุณแม่ของลูกศิษย์ จึงรีบนำมาเพาะขยาย
ปลายปี</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">2008
</span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">ผมได้รู้ว่าแม่ค้าที่เช่าที่<wbr></wbr>ในร้านผมคนหนึ่งเป็นมะเร็งเต้<wbr></wbr>านมขั้น</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">3 </span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">หน้าคล้ำ เดินตัวแข็งแล้ว
ผมรีบเชิญมานั่งคุยเล่าเรื่องจิ<wbr></wbr>งจูฉ่ายให้ฟังและเรื่องพี่สะใภ้<wbr></wbr>นั่งสมาธิ
ก็เลยแนะนำให้ทำ</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">2</span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">อย่างควบคู่กั<wbr></wbr>นไป เชื่อไหมว่า </span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">3 </span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">เดือนถัดไป หายเป็นปลิดทิ้ง</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> (</span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">ผมให้เขาไปเพียง</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">1</span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">ต้นไปปลูกและ เด็ดใบทานเลยวันละ</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">1</span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">ใบ เพราะมีน้อย ก็ยังได้ผล)</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"><br />
</span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">ปี</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">2009
</span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">ผมมีต้นจิงจูฉ่ายมากขึ้<wbr></wbr>นและแจกจ่ายให้กับคนรู้จั<wbr></wbr>กหลายคน
ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่าง</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">3</span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">เดือน ทุกคนอาการดีขึ้นหมด</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">ถ้<wbr></wbr>าเราอยากช่วยผู้ที่เรารักและห่<wbr></wbr>วงใยซึ่งกำลังเผชิญกับโรคร้ายนี<wbr></wbr>้
ผมแนะนำวิธีนี้</span><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">ถ้าคุณต้อง<b>ทำคีโมก็ทำไป</b></span><b><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span></b><b><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">กินใบจิ<wbr></wbr>งจูฉ่ายและนั่งสมาธิ</span></b><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">ผมว่าคุณมี<wbr></wbr>โอกาสหาย</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"><br />
</span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">ผมพยายามหาข้อมูลเพิ่มเติม
พบว่าผักชนิดนี้ แพมย์จีนโบราณเรียกว่า</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">"</span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">ยาเย็น</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">"</span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">เ<wbr></wbr>ป็น</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">"</span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">หยิน</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">"</span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">ช่วยฟอกเลือด</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">,</span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">ขับสารพิ<wbr></wbr>ษ..ฆ่าเชื้อไวรัสทุกชนิด..เพื่<wbr></wbr>อน</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">ku37</span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">คนหนึ่งลองให้ลูกกิน
เนื้องอกที่คอก็ยุบลง</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"><br />
</span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">ใครเป็นมะเร็งลองดูซิครับ
ทานแล้วยังไงก็ไม่มีผลข้างเคียง</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"><wbr></wbr> </span><span lang="TH" style="font-size: 12pt;">แต่</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span><b><span lang="TH" style="font-size: 16pt;">คุณมีโอกาสหายครับ</span></b><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 16pt;">.</span><br />
<br />
<span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 16pt;">ขอบคุณ <a href="http://www.kualumniusa.org/newsinfo.php?section=&newsid=205">http://www.kualumniusa.org/newsinfo.php?section=&newsid=205</a></span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"></span>http://food-plants.blogspot.com/http://www.blogger.com/profile/04223739952562743625noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6514530156973123374.post-50880514530292933732012-07-09T14:01:00.000+07:002012-07-09T14:17:23.212+07:00ใบแมงลัก บำรุงสายตา บำรุงเลือด ขับลมในลำใส้<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi9p1avP8kFo28ULLERbVETuPerwmR5QSqss2jf0l2fHQCitGQR9MM5gRsBTRETm7PM3fQYdY7-PByooxVESCegSvwdoDVnQbi-qBuHc6IwNLQQmdcbr8OLfA2Xh6ArAi4ox67mAXVy0Ig/s1600/%E0%B9%83%E0%B8%9A%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%814.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi9p1avP8kFo28ULLERbVETuPerwmR5QSqss2jf0l2fHQCitGQR9MM5gRsBTRETm7PM3fQYdY7-PByooxVESCegSvwdoDVnQbi-qBuHc6IwNLQQmdcbr8OLfA2Xh6ArAi4ox67mAXVy0Ig/s320/%E0%B9%83%E0%B8%9A%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%814.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
<br />
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ocimum basilicum L.f. var. citratum Back.<br />
<br />
ชื่อสามัญ : Hairy Basil<br />
วงศ์ : Apiaceae ( Labiatae )<br />
ชื่ออื่น : ก้อมก้อขาว มังลัก<br />
<br />
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เป็นพืชล้มลุก ลำต้นตรง โคนต้นแข็ง สูงประมาณ 40-65 ซ.ม. แตกกิ่งก้าน ทุกส่วนมีกลิ่นหอม ใบ เดี่ยว สีใบสีนวล ใบมีขนอ่อน ๆ ใบเรียงตรงข้ามเป็นคู่ ๆ ดอก ช่อ ออกที่ปลายยอด ช่ออาจเป็นช่อเดี่ยว หรือแตกออกเป็นช่อย่อย ๆ ดอกบานจากข้างล่างขึ้นข้างบน กลีบรองดอกจะคงทนและขยายใหญ่ขึ้นเมื่อเป็นผล กลีบดอกสีขาวแบ่งเป็น 2 ปาก ร่วงง่าย เกสรตัวผู้จะยื่นยาวกว่ากลีบดอก ดอกย่อยออกโดยรอบก้านช่อเป็นชั้น ๆ แต่ละชั้นมีดอกย่อย 6 ดอก แบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนละ 3 ดอก ดอกตรงกลางจะบานก่อน และช่อดอกย่อยที่อยู่ชั้นล่างสุดของก้านช่อดอกจะบานก่อนเช่นกัน ผล 1 ดอกมีผล 4 ผล ขนาดเล็ก คือเมล็ดแมงลัก รูปร่างรูปรีไข่ สีดำ<br />
ส่วนที่ใช้ : เมล็ด และใบ<br />
<br />
<div style="line-height: 150%;">
<br />
วิธีและปริมาณที่ใช้ :<br />
รับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนชา แช่น้ำให้พอง แล้วดื่มก่อนนอน จะช่วยทำให้ระบาย เป็นยาถ่าย<br />
สารเคมี : <br />
เมือกจากเมล็ด พบ D-xylos, D-glucose, D-galactose, D-mannose, L-arabinose, L-rhamnose, uronic acid , oil, polysaccharide และ mucilage<br />
ส่วนใบ พบน้ำมันหอมระเหย ซึ่งประกอบด้วย borneol L-B-cadinene, 1-8-cineol, B-caryophyllene, eugenol</div>
<ul>
<li><div style="line-height: 150%;">
<b><span lang="th"><span style="font-size: x-small;">เมล็ด</span></span></b><span style="font-size: x-small;"><span lang="th">- ออกฤทธิ์เป็นยาระบาย โดยการเพิ่มปริมาตรของกากอาหารกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้</span></span> </div>
</li>
<li><div style="line-height: 150%;">
<span lang="th"><span style="font-size: x-small;"><b>ใบ</b> - ใช้ขับลม</span></span> </div>
</li>
</ul>
<div style="line-height: 150%;">
<br /></div>
<br />
<strong><span style="background-color: yellow;">สรรพคุณของใบแมงลัก</span></strong><span style="background-color: yellow; color: red;">- ขับลมในลำไส้ อาหารไม่ย่อย อาการอึดอัด แน่นไม่สบายท้อง ให้นำต้นและใบแมงลักต้มน้ำดื่ม<br /><br />- ขับเหงื่อ เมื่อมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวไม่ค่อยสบาย นำต้นและใบแมงลักต้มน้ำดื่ม<br /><br />- บรรเทาอาการหวัด อาการคัดจมูก น้ำูกไหล หลอดลมอักเสบ ใช้ใบแมงลัก 1 กำมือล้างสะอาดโขลกคั้นน้ำดื่ม 1 ถ้วยตะไลบรรเทาอาการดังกล่าว สำหรับกรณีของหลอดลมอักเสบให้คั้นน้ำดื่ม 1 ถ้วยตะไล 3 เวลาเช้า-กลางวัน-เย็น<br /><br />- บรรเทาอาการผื่นคัน พิษจากพืช พิษสัตว์กัดต่อยหรืออาการคันจากเชื้อรา ใช้ใบแมงลักสดโขลกพอกบริเวณที่มีอาการและเปลี่ยนยาบ่อย ๆ<br /><br />- แก้ท้องร่วงท้องเสีย ใบแมงลักสัก 2 กำมือ ล้างสะอาด โขลกบีบคั้นน้ำดื่ม แก้ท้องร่วงได้<br /><br />- เพิ่มน้ำนมแม่ ให้แม่ที่ให้นมลูกกินแกงเลียงหัวปลี ใส่ใบแมงลักและให้ลูกดูดหัวน้ำนมบ่อย ๆ เพิ่มการสร้างน้ำนมแม่<br /><br />- บำรุงสายตา ใบแมงลักมีวิตามินเอสูง การกินใบแมงลักเป็นประจำช่วยบำรุงสายตา<br /><br />- บำรุงเลือด แก้โลหิตจาง ใบแมงลักอุดมด้วยธาตุเหล็กช่วยบำรุงโลหิต<br /><br />- เสริมสร้างกระดูก ใบแมงลักมีแคลเซียมสูงช่วยบำรุงกระดูก<br /><br />- เป็นยาระบาย ใช้เมล็ดแก่ของแมงลักสัก 1 ช้อนชาแช่น้ำ 1 แก้ว ปล่อยให้พองตัวดีแล้วเติมน้ำตาลเล็กน้อยดื่มแก้ท้องผูก แนะนำให้ใช้กับหญิงตั้งครรภ์และแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมตนเองที่ไม่ต้องการภาวะท้องผูกเพราะเป็นการแก้ปัญหาแบบธรรมชาติ</span><br />
<br />
ขอบคุณข้อมูลจาก <a href="http://www.n3k.in.th/">http://www.n3k.in.th</a> , <a href="http://www.rspg.or.th/">http://www.rspg.or.th</a>http://food-plants.blogspot.com/http://www.blogger.com/profile/04223739952562743625noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6514530156973123374.post-62686225194375569992012-07-07T16:17:00.000+07:002012-07-07T17:05:29.661+07:00ขมิ้นชัน ป้องกันการเกิดมะเร็งในตับ ทำความสะอาดให้ลำไส้<h3 class="entry-full-title">
<span style="color: #1894c9;">ขมิ้นชัน
ราชินีสมุนไพร<br />ป้องกันการเกิดมะเร็งในตับ ทำความสะอาดให้ลำไส้</span></h3>
<div class="entry-full-title">
<br /></div>
<div class="entry-full-title" style="text-align: center;">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgCLUhfhOHXpBf_sexw0YcfXvjfmUST1HlJbUPIG9GRGW4aJwEIwAoilA3wqB6P5uYBgW2MM8G7VxC2Bk26PG9Bf30WsldDWxSdAxapl7MwOsTle74C_QP99RIF5Lj-OqYcq-w6gSQjLvA/s1600/%E0%B8%82%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%995.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgCLUhfhOHXpBf_sexw0YcfXvjfmUST1HlJbUPIG9GRGW4aJwEIwAoilA3wqB6P5uYBgW2MM8G7VxC2Bk26PG9Bf30WsldDWxSdAxapl7MwOsTle74C_QP99RIF5Lj-OqYcq-w6gSQjLvA/s1600/%E0%B8%82%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%995.jpg" /></a></div>
</div>
<div class="entry-full-title">
<br /></div>
<strong>ชื่อสามัญ / ชื่ออังกฤษ :</strong> Turmeric, Curcuma, Yellow Root Zedoary (ขมิ้นอ้อย)<br />
<strong>ชื่อวิทยาศาสตร์ :</strong> ขมิ้นชัน Curcuma longa Linn., ขมิ้นอ้อย Curcuma zedoaria Rosc.<br />
<strong>วงศ์ :</strong> Zingiberaceae<br />
<strong>ชื่ออื่น/ชื่อท้องถิ่นของขมิ้นชัน:</strong>ขมิ้น (ทั่วไป) ขมิ้นแกง ขมิ้นหัว ขมิ้นหยวก (เชียงใหม่) มิ้น ขี้มิ้น (ภาคใต้),<br />
<strong>ชื่ออื่น/ชื่อท้องถิ่นของขมิ้นอ้อย:</strong>ขมิ้น (ทั่วไป) มิ้น ขี้มิ้น (ภาคใต้) ขมิ้นขิ้น ขมิ้นหัวขึ้น ว่านเหลือง ละเมียด<br />
<strong>ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :</strong><br />
<br />
<span style="font-family: Tahoma; font-size: medium;"><br />ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ <br />
ขมิ้นเป็นพืชล้มลุกที่มีเหง้าอยู่ใต้ดิน เนื้อในของเหง้าเป็นสีเหลือง
มีกลิ่นหอมเฉพาะตัวใบรูปเรียวยาว ดอกออกเป็นช่อ มีก้านช่อแทงออกมาจากเหง้าโดยตรง
ดอกสีขาวอมเหลือง<span lang="th"> มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์ที่สำคัญ
ดังนี้</span></span><span lang="th"><span style="font-family: Tahoma; font-size: medium;"><strong><u>ราก</u></strong> </span></span><span style="font-family: Tahoma; font-size: medium;"><span lang="th">รากเป็นรากฝอยใหญ่
และรากฝอยขนาดเล็กจำนวนมาก ซึ่งแตกออกจากลำต้นใต้ดิน
และเหง้าหรือแง่งของขมิ้น</span></span><span style="font-family: Tahoma;"><span lang="th"><span style="font-size: medium;"><strong><u>ลำ</u></strong></span></span><span style="font-size: medium;"><strong><u>ต้น</u></strong> </span><span style="font-size: medium;"> เป็นพรรณไม้ล้มลุก ที่มีลำต้นประเภทเดียวกับไพล<span lang="th"> กระทือ
กระชาย และ</span>ขิง ลำต้นเป็นหัวอยู่ในดินมี<br /> เหลือง</span><span lang="th"><span style="font-size: medium;">แกมน้ำตาล</span></span><span style="font-size: medium;"><u><strong>ใบ </strong></u> </span><span style="font-size: medium;"> ใบจะออกซ้อนกันเป็นแผง
ลักษณะ ของใบ เรียวยาว ใบมีสีเขียวแก่</span><strong><u>ดอก </u></strong> ด<span style="font-size: medium;">อกออกเป็นช่อ โผล่พ้นขึ้นมาจาก หัวใต้ดิน ช่อก้านดอกยาว และเป็น<span lang="th">ช่อคล้ายดอกกระเจียว</span> <br /> <span lang="th">
</span>ส่วนปลายมีกลีบเลี้ยงมีสีเขียว<span lang="th"> ขาว </span>ปน<span lang="th">ม่วง</span>ซ้อนกันอยู่แน่น กลีบดอกมีสีขาวนว<span lang="th">ลแกมม่วง</span> <br /> มีลักษณะเป็น<span lang="th">กลีบเรียงกันอยู่เป็นชั้นๆ </span> ส่วนปลายกลีบอ้าออก
กลีบเลี้ยงจะอุ้มน้ำไว้ได้ </span></span><br />
<div class="entry-full-title">
</div>
<span class="mw-headline"><span style="font-family: Tahoma; font-size: 16pt;">ส่วนที่ใช้เป็นยา</span></span><span style="font-family: Tahoma; font-size: 16pt;">เหง้าสดหรือแห้ง</span><br />
<div class="entry-full-title">
</div>
<strong>สารสำคัญที่พบในขมิ้น :</strong><br />
ในเหง้าขมิ้นชันมีน้ำมันหอมระเหย ประมาณ 3-4% ซึ่งเป็นน้ำมันสีส้มเหลือง มีเซสควิเทอร์พีนคีโทน (Sesquiterpene) โดยมีสารส่วนใหญ่เป็นทูมีโรน (Tumerone) นอกจากนี้ยังมีสารเออาร์-เทอร์มีโรน (ar-Tumerone) อัลฟา-แอทเลนโทน (Alpha-Atlantone) ซิงจิเบอร์รีน (Zingiberene) บอร์นีออล (Borneol) เป็นต้น ส่วนสารสีเหลืองส้มมีชื่อว่า เคอร์คิวมิน (Curcumin) มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชี้อรา เป็นสารที่มีฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งของกรดในกระเพาะป้องกันการเกิดแผลใน กระเพาะอาหาร ลดการอักเสบและออกฤทธิ์ในการขับน้ำดีด้วย<br />
นอกจากนี้ขมิ้นชันยังประกอบด้วยสารอาหารประเภทโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมันและแร่ธาตุ<br />
<br />
<span style="color: magenta;">ขมิ้นชันมีประโยชน์ และสรรพคุณ หลายประการดังนี้ขมิ้นชันมีวิตามิน เอ,ซี,อี ทั้ง 3 ตัว วิตามินที่เข้าสู่ร่างกายแล้วจะทำงานได้ ต้องมีพร้อมกันทั้ง 3 ตัว ซึ่งจะมีผลทำให้- ช่วยลดไขมันในตับ</span> <br />
- <span style="background-color: #fce5cd;">สมานแผลภายในกระเพาะอาหาร <br />- ช่วยย่อยอาหาร <br />- ทำความสะอาดให้ลำไส้ <br />- เปลี่ยนไขมันให้เป็นกล้ามเนื้อ <br />- ต้านอนุมูลอิสระป้องกันการเกิดมะเร็งในตับ <br />- สร้างภูมิคุ้มกันให้กับผิวหนัง <br />- กำจัดเชื้อราที่ปนเปื้อนในอาหารที่กินเข้าไปแล้วสะสมในร่างกายเตรียมก่อตัวเป็นเซลล์มะเร็ง<br /> - ช่วยขับน้ำนมสำหรับสตรีหลังคลอดบุตรได้ดี รองมาจากการกินหัวปลี</span><br />
<div class="entry-content editor-content clearfix">
<div class="clear_desc">
<h1>
<span style="font-family: tahoma,arial,helvetica,sans-serif; font-size: 14px;">ป้องกันการเกิดมะเร็งในตับ
สร้างภูมิคุ้มกันให้ผิวหนัง การกินขมิ้นชันให้ตรงเวลา ที่อวัยวะส่วนต่างๆ
ของร่างกายเปิดการทำงานในช่วงเวลานั้น</span><span style="font-family: tahoma,arial,helvetica,sans-serif; font-size: 14px;"> </span></h1>
<span style="font-family: tahoma,arial,helvetica,sans-serif; font-size: 14px;">มะเร็งเกิดจาก
ร่างกายได้รับสารเคมีที่ปนมาจากการใช้ชีวิตประจำวัน เช่นยาต่างๆ ยาย้อมผม ลิปสติก
หรือเกิดจากเชื้อราอัลฟลาท๊อกซิล เซลล์ดีจะถูกทำรายอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่เซลล์มะเร็งเติบโตขึ้น </span><br />
<span style="font-family: tahoma,arial,helvetica,sans-serif; font-size: 14px;"> </span><br />
<span style="font-family: arial,helvetica,sans-serif; font-size: 15px;">การกินขมิ้นชันให้ตรงเวลา
(ตั้งนาฬิกาไว้ล่วงหน้า) ที่อวัยวะของร่างกายเปิดการทำงานในช่วงนั้น
จะออกฤทธิ์มากกว่าเวลาอื่นถึง 40 เท่าตัว
ถ้ามีปัญหาสุขภาพหลายอย่างช่วงแรกอาจจะทานทุกสองชั่วโมง ซึ่งไม่มีอันตรายใดๆ
เพราะส่วนที่เหลือสารจากขมิ้นชันจะไปขับไขมันในตับต่อเป็นการล้างพิษที่ตับ</span><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiz3zXGJLpQnw35FboAYPZ-9zJ6oHMj9vqN-5hO_3LfxREPLwG2j1-x8Y7OipnqyGMmAw-ij-wJPlv5835pb2nAug8T_IlxjioIoxs0d3iY1E7Skt0jMmrJAnZzkN3KDIGVkAYvb-7hI3s/s1600/%E0%B8%82%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%994.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="197" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiz3zXGJLpQnw35FboAYPZ-9zJ6oHMj9vqN-5hO_3LfxREPLwG2j1-x8Y7OipnqyGMmAw-ij-wJPlv5835pb2nAug8T_IlxjioIoxs0d3iY1E7Skt0jMmrJAnZzkN3KDIGVkAYvb-7hI3s/s320/%E0%B8%82%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%994.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
<br />
<span mce_style="color: #339966;" style="color: #339966; font-family: arial,helvetica,sans-serif; font-size: 15px;"><span style="font-size: x-small;"><strong><span style="color: magenta;">นาฬิกาชีวิต
(ความสัมพันธ์ของอวัยวะกับเวลา)</span></strong><span style="color: olive;">
ช่วงเวลา เป็นเวลาของ<br />03.00 - 05.00 น.
ปอด<br />05.00 - 07.00 น. ลำไส้ใหญ่<br />07.00 - 09.00 น.
กระเพาะอาหาร<br />09.00 - 11.00 น. ม้าม<br />11.00 - 13.00
น. หัวใจ<br />13.00 - 15.00 น. ลำไส้เล็ก<br />15.00 - 17.00
น. กระเพาะปัสสาวะ<br />17.00 - 19.00 น. ไต<br />19.00 -
21.00 น. เยื่อหุ้มหัวใจ<br />21.00 - 23.00 น.
พลังงานรวม<br />23.00 - 01.00 น. ถุงน้ำดี<br />01.00 - 03.00
น. ตับ</span></span></span><br />
<span mce_style="color: #339966;" style="color: #339966; font-family: arial,helvetica,sans-serif; font-size: 15px;">การแพทย์ตะวันออกถือว่า
กลางวันและกลางคืนมีความสัมพันธ์กับสุขภาพของมนุษย์อย่างแยกไม่ออก
โดยมองลึกลงไปอีกว่า ช่วงเวลา 24
ชั่วโมงในหนึ่งวันนั้นภายในร่างกายของมนุษย์ยังมีการไหลเวียนของพลังชีวิตที่ผ่านอวัยวะภายในของร่างกาย
ซึ่งประกอบด้วย อวัยวะตันและอวัยวะกลวง</span><br />
<span style="font-family: arial,helvetica,sans-serif; font-size: 15px;"><strong>อวัยวะตัน</strong>
หมายถึง หัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจ ปอด ม้าม ตับ ไต</span><br />
<span style="font-family: arial,helvetica,sans-serif; font-size: 15px;"><strong>อวัยวะกลวง</strong> หมายถึง
กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะปัสสาวะ ระบบความร้อนของร่างกาย
(ชานเจียว)</span><br />
<span style="font-family: arial,helvetica,sans-serif; font-size: 15px;"><strong>การไหลเวียนของพลังชีวิต</strong><strong> (</strong><strong>ลมปราณ)</strong> ที่ผ่านแต่ละอวัยวะนั้นจะใช้เวลาสองชั่วโมง
ทั้งหมดมี 12 อวัยวะ รวม 24 ชั่วโมง คือ หนึ่งวัน เรียกว่า
"นาฬิกาชีวิต"</span><br />
<span style="font-family: arial,helvetica,sans-serif; font-size: 15px;"><span mce_style="color: #3366ff;" style="color: #3366ff;"><strong>1.00-3.00
</strong><strong>น.</strong><strong>
</strong><strong>เป็นช่วงเวลาของตับ</strong></span>
ควรนอนหลับพักผ่อนถ้าใครนอนหลับได้ดีเป็นประจำในช่วงเวลานี้
ตับจะหลั่งสารมีราโทนิน (meratonine) เพื่อฆ่าเชื้อโรคทำให้หน้าอ่อนกว่าวัย
นอกจากร่างกายจะหลั่งทำงานหนักและเสื่อมเร็ว </span><br />
<span style="font-family: arial,helvetica,sans-serif; font-size: 15px;"><span mce_style="color: #ff6600;" style="color: #ff6600;"><strong>3.00-5.00
</strong><strong>น.</strong><strong>
</strong><strong>เป็นช่วงเวลาของปอด</strong></span>
ควรตื่นขึ้นมาสูดอากาศรับแดดตอนเช้า ผู้ที่ตื่นช่วงนี้ประจำ ปอดจะดี ผิวดี
และเป็นคนมีอำนาจในตัว???</span><br />
<span style="font-family: arial,helvetica,sans-serif; font-size: 15px;"><span mce_style="color: #339966;" style="color: #339966;"><strong>5.00-7.00
</strong><strong>น.</strong><strong>
</strong><strong>ลำไส้ใหญ่</strong> </span> ควรถ่ายให้เป็นนิสัย
คนเรามักไม่ตื่นกันตอนนี้ซึ่งเป็นเวลาที่ลำไส้ต้องบีบอุจจาระลง
เมื่อไม่ตื่นจึงบีบขึ้น เมื่อไม่ถ่ายตอนเช้าลำไส้ใหญ่จึงรวน
แล้วจะมีอาการปวดหัวไหล่ กล้ามเนื้อเพดานจะหย่อน แล้วจะนอนกรนในที่สุด</span><br />
<span style="font-family: arial,helvetica,sans-serif; font-size: 15px;"><span mce_style="color: #ff00ff;" style="color: magenta;"><strong>7.00-9.00
</strong><strong>น.</strong><strong>
</strong><strong>กระเพาะอาหาร</strong></span> กินเข้าเช้าตอนนี้จะดี
กระเพาะแข็งแรง ถ้ากระเพาะอ่อนแอ จะทำให้เป็นคนตัดสินใจช้า ขี้กังวล
ขาไม่ค่อยมีแรง ปวดเข่า หน้าแก่เร็วกว่าวัย
ถ้าไม่กินข้าวเช้าอุจจาระจะถูกดูดกลับมาที่กระเพาะ
กลิ่นตัวจะเหม็นถ้าถ่ายออกหมดจะไม่มีกลิ่นตัวเท่าไหร่</span><br />
<span style="font-family: arial,helvetica,sans-serif; font-size: 15px;"><span mce_style="color: #cc99ff;" style="color: #cc99ff;"><strong>9.00-11.00
</strong><strong>น.</strong><strong> </strong><strong>ม้าม</strong></span>
ม้ามจะอยู่ชายโครงด้านซ้าย หน้าที่ควบคุมเม็ดเลือด สร้างน้ำเหลือง ควบคุมไขมัน
คนที่ปวดหัวบ่อยมักมาจากม้าม อาการเจ็บชายโครงมาจากม้ามกับตับ ม้ามโต
จะไปเบียดปอด ทำให้เหนื่อยง่าย ผอมเหลือง ตาเหลือง สร้างเม็ดเลือดขาวได้น้อย
ม้ามชื้น อาหารแและน้ำที่กินเข้าไปจะแปรสภาพเป็นไขมัน ทำให้อ้วนง่าย
คนที่หลับช่วง 9.00-11.00 ม้ามจะอ่อนแอ
ม้ามยังโยงไปถึงริมฝีปากคนที่พูดมากช่วงนี้ม้ามจะชื้น ควรพูดน้อยกินน้อย ไม่นอนหลับ
ม้ามจะแข็งแรง</span><br />
<span style="font-family: arial,helvetica,sans-serif; font-size: 15px;"><span mce_style="color: #666699;" style="color: #666699;"><strong>11.00-13.00
</strong><strong>น.</strong><strong> </strong><strong>หัวใจ</strong> </span>
หัวใจจะทำงานหนักช่วงนี้ ให้หลีกเลี่ยงความเครียด หรือใช้ความคิดหนัก
หาทางระงับอารมณ์ไว้</span><br />
<span style="font-family: arial,helvetica,sans-serif; font-size: 15px;"><span mce_style="color: #ff9900;" style="color: #ff9900;"><strong>13.00-15.00
</strong><strong>น.</strong><strong>
</strong><strong>ลำไส้เล็ก</strong></span> **ควรงดกินอาหารทุกประเภท**
เพื่อเปิดโอกาสให้ลำไส้ทำงาน
ลำไส้เล็กทำหน้าที่ดูดสารอาหารที่เป็นน้ำเพื่อสร้างกรดอะมิโนสร้างเซลล์สมอง
ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สร้างไข่สำหรับผู้หญิง</span><br />
<span style="font-family: arial,helvetica,sans-serif; font-size: 15px;"><span mce_style="color: #ff00ff;" style="color: magenta;"><strong>15.00-17.00
</strong><strong>น.</strong><strong>
</strong><strong>กระเพาะปัสสาวะ</strong></span> จะเกี่ยวข้องกับระบบความจำ
ไทรอยด์ และระบบเพศทั้งหมด ช่วงเวลานี้ควรทำให้เหงื่อออก
จะออกกำลังการหรืออบตัวกระเพาะปัสสาวะจะได้แข็งแรง
การอั้นปัสสาวะบ่อยจะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดทำให้เหงื่อเหม็น</span><br />
<span style="font-family: arial,helvetica,sans-serif; font-size: 15px;"><span mce_style="color: #800080;" style="color: purple;"><strong>17.00-19.00
</strong><strong>น.</strong><strong> </strong><strong>ไต</strong></span>
ควรทำใจให้สดชื่น ไม่ง่วงเหงาหาวนอนตอนนี้ ถ้าง่วงแสดงว่าไตเสื่อม
ยิ่งหลับแล้วเพ้อ อาการยิ่งหนัก</span><br />
<span style="font-family: arial,helvetica,sans-serif; font-size: 15px;"><span mce_style="color: #339966;" style="color: #339966;"><strong>19.00-21.00
</strong><strong>น. เยื่อหุ้มหัวใจ</strong></span> ช่วงนี้ควรสวดมนต์ ทำสมาธิ
ให้ระวังเรื่องตื่นเต้น ดีใจ หัวเราะ</span><br />
<span style="font-family: arial,helvetica,sans-serif; font-size: 15px;"><span mce_style="color: #3366ff;" style="color: #3366ff;"><strong>21.00-23.00
</strong><strong>น.</strong><strong>
</strong><strong>เวลาของระบบความร้อนของร่างกาย</strong></span>
ต้องทำร่างกายให้อุ่น ห้ามอาบน้ำเย็นเวลานี้จะเจ็บป่วยได้ง่าย
ช่วงนี้อย่าตากลมเพราะลมมีพิษ</span><br />
<span style="font-family: arial,helvetica,sans-serif; font-size: 15px;"><span mce_style="color: #ff0000;" style="color: red;"><strong>23.00-1.00
</strong><strong>น.</strong><strong>
</strong><strong>ถุงน้ำดี</strong></span> เป็นถุงสำรองน้ำย่อยที่ออกมาจากตับ
อวัยวะใดขาดน้ำ จะดึงมาจากถุงน้ำดี ทำให้ถุงน้ำดีข้น อารมจะฉุนเฉียว สายตาเสื่อม
เหงือกบวมปวดฟัน นอนไม่หลับ ตื่นกลางดึก ตอนเช้าจะจาม
ถุงน้ำดีจะโยงถึงปอดจะปวดศีรษะข้างเดียวหรือสองข้างโดยไม่ทราบสาเหตุ
ควรดื่มน้ำก่อนเข้านอนหรือก่อนเวลา23.00น.</span><br />
<br />
<br />
<span style="background-color: yellow; color: red;">ถ้ากินขมิ้นชัน แบบผง 1 ช้อนชา ใช้ผสมน้ำ 1 แก้ว(ไม่เต็ม) ขมิ้นชันจะไหลผ่านส่วนต่างๆ ตั้งแต่<br />- ผ่านลำคอ ช่วยขับไล่ไรฝุ่นที่ลำคอ แล้วไปผ่านปอดช่วยดูแลปอดให้หายใจดีขึ้น ลดความชื้นของปวด<br />- ผ่านม้าม ก็ลดไขมัน และปรับน้ำเหลืองไม่ให้น้ำเหลืองเสีย<br />- ผ่านกระเพาะอาหาร ก็จะรักษาแผลในกระเพาะอาหาร<br />- ผ่านลำไส้ ก็สมานแผลในลำไส้<br />- ผ่านตับ ก็ไปบำรุงตับ ล้างไขมันในตับ</span> <span style="background-color: yellow;">ขมิ้นชันยังช่วยดูแลเซลล์ต่างๆ ที่ฉีกขาด ก็จะไปเชื่อมให้ และไปกวาดขยะ กวาดไขมันมากองไว้ ถ้าจะอุ้มขยะไปทิ้งโดยการขับถ่ายก็กินอาหารปกติ เช่น พืช ผัก ผลไม้ ที่มีกากใย หรือ กินน้ำลูกสำรอง(พุงทลาย) เพื่ออุ้มไขมัน อุ้มแก๊สไปทิ้ง<br />*คนธาตุเบา แสดงว่ามีการระคายเคือง อักเสบ เป็นแผลเรื้อรังบางอย่างที่ผนังลำไส้เป็นอาจิณ<br />*คนธาตุหนัก แสดงว่าปลายประสาทลำไส้ใหญ่เสื่อม อาจเกิดจากการกินยาถ่ายเป็นประจำ หรือกินน้ำน้อย </span><br />
<span style="background-color: yellow;">ทั้งธาตุเบาและธาตุหนัก ไม่ดีทั้งคู่ ถ้าเป็นอย่างนี้แสดงว่ามีปัญหาที่ลำไส้ และปลายประสาทลำไส้ใหญ่ผิดปกติ หากปล่อยไว้ วันข้างหน้าจะมีโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ ควรกินขมิ้นชันเป็นประจำ เพื่อค่อยๆ ปรับให้เข้าที่แล้ว กลับมาถ่ายได้อย่างปกติ</span><br /><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgrFC628mbUyyMOSpBBVVvzCyU12pAIA-GdM3jA1DVMeNvEVQEIycUzOftyzCDFzGUbKiIe17XrpurFWC2zviEJpgX2NmLeMvl64PE1JVOxFCoq4LPJZFmKCm3mqH09CBBL1uIgHnERKPE/s1600/%E0%B8%82%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%99.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="237" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgrFC628mbUyyMOSpBBVVvzCyU12pAIA-GdM3jA1DVMeNvEVQEIycUzOftyzCDFzGUbKiIe17XrpurFWC2zviEJpgX2NmLeMvl64PE1JVOxFCoq4LPJZFmKCm3mqH09CBBL1uIgHnERKPE/s320/%E0%B8%82%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%99.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<span style="font-size: x-small;"><span style="color: #cc0000;">ที่มา : จากหนังสือ <strong>กินเป็น
ลืมป่วย</strong> ล้างพิษในร่างกาย , </span></span></div>
</div>http://food-plants.blogspot.com/http://www.blogger.com/profile/04223739952562743625noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6514530156973123374.post-14575001569684758562012-07-07T15:48:00.000+07:002012-07-07T16:08:50.205+07:00มะขามป้อม แก้เจ็บคอ คอแห้ง ต้านมะเร็งลำไส้<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEigU3ac0zmSVo1uvDV_hxCpPcgVrgUOr5dhukhI-p3FJVswS0xQr69i9RchUlozgu90qQp8qIYMaRYUmvJsRoVz3amSoVsxn4oUYIPRzLlMtVBaXc3dj0S3dfcxjbpfE2qZUrSaLnVg_J8/s1600/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%9B%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEigU3ac0zmSVo1uvDV_hxCpPcgVrgUOr5dhukhI-p3FJVswS0xQr69i9RchUlozgu90qQp8qIYMaRYUmvJsRoVz3amSoVsxn4oUYIPRzLlMtVBaXc3dj0S3dfcxjbpfE2qZUrSaLnVg_J8/s320/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%9B%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
<br />
<br />
ชื่อพื้นเมือง มะขามป้อม (ทั่วไป) กันโตด (เขมร-จันทบุรี) กำทวด (ราชบุรี) มั่งลู่ สันยาส่า (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)<br />
ชื่อวิทยาศาสตร์ Phyllanthus emblica Linn.<br />
ชื่อวงศ์ มะไฟ Euphorbiaceae<br />
ชื่อสกุลไม้ มะขามป้อม Phyllanthus L.<br />
ชื่อสามัญ Emuc myrabolan, Malacca tree<br />
<br />
<br />
<h3>
<span style="background-color: yellow; color: red;">**จากประสบการณ์ จริง *********************************************</span></h3>
<br />
<span style="background-color: yellow;"> ผมเองก็ได้ใช้ตัวนี้รักษาอาการท้องผูกและนำมาทานร่วมกับตัวอื่นเพื่อเสริมรสชาติเปรียว เพราะจะมีวิตตามินซีสูงมาก และหาทานง่าย ระหว่างที่ผมทดลองอยู่ 15 วัน ที่สังเกตได้คือ ระบบขับถ่ายดีมาก แค่เรื่องนี้ก็ช่วยลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งลำใส้ได้แล้วครับ ส่วนเรื่องแก้เจ็บคอผมเองก็ยังไม่ได้ทดสอบเพราะยังไมได้เจ็บคอเลยครับ แต่แนะนำให้ทานกันครับเพราะคุณทางอาหารเยอะครับ</span><br />
<span style="background-color: yellow;">*******************************************************************************</span><br />
<br />
<br />
<strong>การกระจายพันธุ์</strong><br />
มะขามป้อมเป็นพืชที่ขึ้นอยู่ทั่วไปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย ลาว พม่า เขมร อินเดีย จีน ประเทศไทย พบเห็นขึ้นประปรายเป็นหมู่ๆ ตามป่าเบญจพรรณแล้ง ป่าเต็งรัง และป่าแดงทั่วๆ ไป มีมากทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคกลางของประเทศไทย<br />
การกระจายพันธุ์เกิดขึ้นจากสัตว์ป่าจำพวกเก้งหรือกวาง รวมทั้งมนุษย์ กินลูกมะขามป้อมแล้วทิ้งเมล็ดไกลออกไป ทำให้การกระจายพันธุ์ได้กว้างมากขึ้น<br />
<strong>ลักษณะทั่วไปของมะขามป้อม<br />ต้น</strong> มะขามป้อมเป็นไม้ยืนต้น ขนาดกลาง สูงประมาณ ๘-๑๒ เมตร โตเต็มที่วัดโดยรอบของต้นได้ประมาณ ๘๐ เซนติเมตร ลำต้นคดงอ เปลือกนอกสีน้ำตาลอมเทา ผิวค่อนข้างเรียบ เปลือกในสีชมพูสด เรือนยอดแผ่กระจายรูปทรงกลม ปลายกิ่งมักลู่ลง พุ่มใบโปร่ง เนื้อไม้สีแดงอมน้ำตาล<br />
<strong>ใบ</strong> มะขามป้อมมีใบเป็นช่อ แต่ละช่อมีใบย่อยเล็กๆ รูปขอบขนานติดเป็นคู่ๆ เยื้องๆ กัน ปลายใบมน มีรอยหยักเว้าเล็กน้อย ขอบใบเรียบ สีเขียวอ่อน กว้าง ๐.๒๕-๐.๕๐ เซนติเมตร ยาว ๐.๘-๑.๒ เซนติเมตร เรียงชิดกัน ก้านใบสั้นมาก ใบย่อยจำนวน ๒๒ คู่ เส้นใบไม่ชัดเจน เส้นกลางใบเห็นได้รางๆ<br />
<strong>ดอก</strong> มะขามป้อมมีดอกเล็ก สีขาวนวล แยกเพศกัน แต่เกิดบนกิ่งและต้นเดียวกัน ออกดอกตามง่ามใบ ๓-๕ ดอก มีกลีบรองดอก ๖ กลีบ ดอกเพศผู้มีเกสรเพศผู้ ๓ อัน ฐานรองดอกมี ๖ แฉก ดอกเพศเมีย มีฐานรองดอกเป็นรูปถ้วย ขอบถ้วยหยัก รังไข่มี ๓ ช่อง หลอดท่อรังไข่ปลายแยกเป็น ๒ แฉก ไม่เท่ากัน<br />
<strong>ผล</strong> กลม มีเนื้อหนา เส้นผ่าศูนย์กลาง ๑.๒-๒ เซนติเมตร ผลอ่อนมีสีเขียวอ่อน ผลแก่มีสีเขียวค่อนข้างใส มีเส้นริ้วๆ ตามยาวพอสังเกตได้ ๖ เส้น เนื้อกินได้ มีรสฝาด เปรี้ยว ขม และอมหวาน เปลือกหุ้มเมล็ดแข็ง ๖ สัน มี ๖ เมล็ดใน ๑ ผล<br />
<strong>ระยะเวลาในการออกดอกและเป็นผล</strong> ประมาณเดือนกันยายน และเป็นผลประมาณเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม-มกราคม-กุมภาพันธ์<br />
การขยายพันธุ์ นิยมใช้เมล็ดที่กระตุ้น ด้วยความร้อนก่อนที่จะนำไปเพาะ<br />
<strong>คุณค่าทางอาหาร</strong>กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข รายงานสารอาหารของลูกมะขามป้อมสด เปรียบเทียบกับลูกมะขามป้อมแช่อิ่ม ในส่วนที่กินได้ ๑๐๐ กรัม และสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ดังนี้<br />
<strong>สารอาหาร ผลสด แช่อิ่ม หน่วย</strong><br />
พลังงาน ๕๘.๐๐ ๒๒๒ แคลอรี<br />
น้ำ ๘๔.๑๐ ๓๗.๖๐ กรัม<br />
ไขมัน ๐.๕๐ ๐.๖๐ กรัม<br />
คาร์โบไฮเดรต ๑๔.๓๐ ๕๙.๘๐ กรัม<br />
เส้นใยอาหาร ๒.๔๐ ๑.๐๐ กรัม<br />
โปรตีน ๐.๗๐ ๐.๕๐ กรัม<br />
แคลเซียม ๒๙ ๓๙ มิลลิกรัม<br />
ฟอสฟอรัส ๒๑ ๑๘ มิลลิกรัม<br />
เหล็ก ๐.๕ ๑.๒ มิลลิกรัม<br />
วิตามินเอ ๑๐๐ - หน่วยสากล<br />
วิตามินบี ๑ ๐.๐๓ ๐.๐๒ มิลลิกรัม<br />
วิตามินบี ๒ ๐.๐๔ ๐.๐๙ มิลลิกรัม<br />
ไนอะซิน ๐.๒ ๐.๑ มิลลิกรัม<br />
วิตามินซี ๒๗๖ ๓<br />
<strong>สารที่พบ<br /><span style="background-color: yellow; color: red;">ผลสด</span></strong><span style="background-color: yellow; color: red;"> มีวิตามินซี ร้อยละ ๑-๑.๘ นับว่ามีปริมาณมากและปริมาณค่อนข้างแน่นอน (วิตามินซีในน้ำคั้นจากผลมะขามป้อม มีมากประมาณ ๒๐ เท่าของน้ำส้มคั้น มะขามป้อม ๑ ผล มีปริมาณวิตามินซีเทียบเท่าที่มีในผลส้ม ๑-๒ ผล) นอกจากนั้นยังมี สารแทนนิน (tannin) ร้อยละ ๒๘</span><br />
<strong>ผลแห้ง</strong> มีกรดมิวซิก (mucic acid) ร้อยละ ๔-๙ <br />
<strong>เปลือกผล</strong> มีกรดเอลลาจิก (ellagic acid), กรดฟิลเลมลิก (phyllemblic acid) และสารฟีนอลส์ (phenols)<br />
<span style="color: red;"><span style="background-color: yellow;"><strong>เนื้อผลสด</strong> มีน้ำร้อยละ ๘๑.๒ โปรตีนร้อยละ ๐.๕ ไขมันร้อยละ ๐.๑ คาร์โบไฮเดรต เกลือแร่ต่างๆ กรดนิโคตินิก วิตามินซี เพ็กทิน และแทนนินจำนวนมาก</span></span><br />
<strong>เมล็ด</strong> มีน้ำมัน (fixed oil) ประมาณร้อยละ ๒๖ (ประกอบด้วย linolenic acid ร้อยละ ๘.๘, linoleic acid ร้อยละ ๔๔, oleic acid ร้อยละ ๒๘.๔, stearic acid ร้อยละ ๒.๒, palmitic acid ร้อยละ ๓, myristic acid ร้อยละ ๑) นอกจากนั้น ยังมี phosphatides และน้ำมันระเหยอีกเล็กน้อย<br />
<span style="color: red;"><span style="background-color: yellow;"><strong>ใบ</strong> มี amlaic acid, lupeol, มีแทนนิน ร้อยละ ๒๒ ของน้ำหนักแห้ง</span></span><br />
<strong>เปลือกต้น</strong> มี lupeol, leucodelphinidin มี แทนนิน ร้อยละ ๘-๙ ของน้ำหนักแห้ง <br />
<strong>กิ่งก้านเล็ก</strong> มีแทนนิน ร้อยละ ๒๑ ของน้ำหนัก แห้ง<br />
<strong>ราก</strong> มี lupeol, ellagic acid<br />
<br />
<strong>สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับมะขามป้อม<br /><span style="background-color: yellow; color: red;">ผลมะขามป้อม</span></strong><span style="background-color: yellow; color: red;"> มีวิตามินซีสูงมากที่สุดในบรรดาพืชทุกชนิดที่มีในโลก</span> ในผลมีสารป้องกันการเกิดออกซิไดซ์วิตามินซี ทำให้วิตามินซีคงตัวอยู่ได้นาน ผลแห้ง เก็บไว้ในที่เย็น เช่น ในตู้เย็น นาน ๓๖๕ วัน จะเสียวิตามินซีไปร้อยละ ๒๐<br />
ผลมะขามป้อมดองในน้ำเกลือร้อยละ ๘ นาน ๒๐ วัน ความเข้มข้นของกรดเพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ ๐.๗๗ เป็นร้อยละ ๑.๔๔ วิตามินซีเสียไปประมาณร้อยละ ๖๘ <br />
ดองในน้ำเกลือร้อยละ ๑๐ ความเข้มข้นของกรดเพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ ๐.๖๓ เป็นร้อยละ ๑.๓๙ วิตามินซีเสียไปประมาณร้อยละ ๗๒ <br />
นอกจากนี้ ในการดองจะมีพวกกรดทั้งชนิดระเหยและไม่ระเหยเพิ่มขึ้น ดองในน้ำเกลือร้อยละ ๘ จะมีปริมาณเพิ่มขึ้นมากกว่าที่ดองในน้ำเกลือร้อยละ ๑๐ ผลมะขามป้อมที่ดองด้วยน้ำเกลือร้อยละ ๘ มีกลิ่นของมันเองลดลง และมีกลิ่นหมักดีขึ้น ส่วนที่ดองด้วยน้ำเกลือร้อยละ ๑๐ มีกลิ่นของมันเองลดลง ผลที่ดองมีสีน้ำตาลแดง เนื้อนุ่มขึ้น ผลพองตัวมีขนาดใหญ่ขึ้น และบางผลก็แตกออก มีรสเปรี้ยวๆ เค็มๆ <br />
ผลสดถ้าเก็บไว้ในอุณหภูมิห้อง (๒๙-๓๗ องศา-เซลเซียส) นาน ๓๖๕ วัน จะเสียวิตามินซีไปร้อยละ ๖๗<br />
เนื้อผลตากแดดให้แห้ง จะเสียวิตามินซีไปประมาณร้อยละ ๖๐ ถ้าทำให้แห้งที่อุณหภูมิห้อง จะเสียวิตามินซีไปไม่มากนัก เนื้อผลแห้งเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้องจะเสียวิตามินซีไปร้อยละ ๒๕ ในเวลา ๒ สัปดาห์ เสียวิตามินซีไปร้อยละ ๕๐ ในเวลา ๔ สัปดาห์ และเสียไปร้อยละ ๖๐ ในเวลา ๔๘ สัปดาห์<br />
น้ำคั้นจากผล ใส่ขวดเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้องนาน ๒ สัปดาห์ จะเสียวิตามินซีไปมากกว่าร้อยละ ๕๐ แต่ถ้าเก็บในตู้เย็นนาน ๙ สัปดาห์ จะเสียวิตามินซีไปน้อย กว่าร้อยละ ๕๐ ในน้ำคั้นจากผลที่ใส่ขวดเก็บไว้ จะมี ความเป็นกรดเพิ่มขึ้นและมีความเป็นกรดคงที่ ที่ pH2<br />
แต่อย่างไรก็ตาม <span style="background-color: yellow; color: red;">ผลมะขามป้อมยังมีสารในกลุ่ม แทนนินชื่อว่า emblicanins A และ B ที่มีฤทธิ์เป็นเช่นเดียวกับวิตามินซี แต่มีฤทธิ์แรงกว่าและไม่สลายตัวง่ายเช่นเดียวกับวิตามินซี สารดังกล่าวมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านมะเร็ง เพิ่มภูมิคุ้มกัน กำจัดพิษโลหะหนัก รักษาโรคลักปิดลักเปิด ทั้งยังช่วยเสริมฤทธิ์วิตามินซี ดังนั้น ท่านจึงไม่ต้องกังวลว่า การกินมะขามป้อมแปรรูปหรือมะขามป้อมแห้งจะไม่ได้ประโยชน์</span> <br />
<br />
มะขามป้อมเป็นสมุนไพรที่คนอินเดียใช้มาเป็นพันๆ ปี ในฐานะเป็นยาอายุวัฒนะ บำรุงสายตา บำรุงสมอง ซึ่งคนอินเดียเรียกมะขามป้อมว่า <strong>Amla </strong>หรือ <strong>Amalaka </strong>แปลว่า <strong>พยาบาล</strong>หรือ<strong>แม่</strong> ซึ่งสะท้อน สรรพคุณทางยาอันมากมายของมะขามป้อมได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันอินเดียมีการเก็บเกี่ยวมะขามป้อมเป็นสมุนไพรส่งออกในรูปแบบต่างๆ ทั้งมะขามป้อมแห้ง มะขามป้อมสด น้ำมะขามป้อมเข้มข้นหรือมะขามป้อมที่ผสมกับสมุนไพรตัวอื่น ทั้งยังมีการ จดสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์มะขามป้อมทั้งในและต่างประเทศ<br />
<br />
<strong><span style="background-color: yellow;">ส่วน ของ "มะขามป้อม" ที่นำไปใช้ประโยชน์</span></strong><br />
<span style="background-color: yellow;"><strong>ราก</strong> น้ำต้มรากของต้นมะขามป้อม กินเป็นยาลดไข้ เป็นยาเย็น ฟอกเลือด และทำให้อาเจียน ถ้ากลั่นรากจะได้สารที่มีคุณสมบัติเป็นยาฝาดสมานที่ดีกว่าสีเสียด</span><br />
<span style="background-color: yellow;"><strong>ลำต้น</strong> มีเนื้อไม้แข็ง แช่อยู่ในน้ำมีความคงทนมาก ใช้งานได้ดี ใช้ทำเครื่องประดับ เสาเข็ม หรือใช้เป็นเชื้อเพลิง</span><br />
<span style="background-color: yellow;"><strong>ต้น เปลือก</strong> เป็นยาฝาดสมาน</span><br />
<span style="background-color: yellow;"><strong>ใบ</strong> น้ำต้มใบใช้อาบลดไข้</span><br />
<span style="background-color: yellow;"><strong>ใบแห้ง</strong> มีแทนนินมากใช้ย้อมเส้นใย เช่น ไหม ขนสัตว์ ให้สีน้ำตาลเหลือง แต่ถ้าใช้เกลือของเหล็ก เช่น เฟอร์รัสซัลเฟตเป็นตัวช่วยทำให้สีติดทนจะได้ สีดำ</span><br />
<span style="background-color: yellow;"><strong>ดอก</strong> มีกลิ่นหอมคล้ายผิวมะนาว ใช้เข้าเครื่องยา เป็นยาเย็นและยาระบาย </span><br />
<span style="background-color: yellow;"><strong>ยางจากผล</strong> รสเปรี้ยวฝาดขม หยอดตาแก้อักเสบ กินช่วยย่อยอาหาร ขับปัสสาวะ </span><br />
<span style="background-color: yellow;"><strong>เมล็ด</strong> ชงน้ำร้อนกินแก้ไข้ โรคเกี่ยวกับน้ำดี คลื่นไส้ อาเจียน หืด หลอดลมอักเสบ และใช้ล้างตา แก้โรคตาต่างๆ เมล็ดเผาเป็นเถ้าผสมน้ำมันพืช ใช้ทาแก้หิดและแผลตุ่มคันต่างๆ น้ำมันบีบจากเมล็ดใช้ทาศีรษะ ทำให้ผมดกดำขึ้น ทาครั้งแรกๆ ผมเก่าจะหลุดร่วงไป แล้วผมใหม่จะงอกขึ้นมาดกขึ้น</span><br />
<strong><span style="background-color: yellow;">การศึกษาวิจัยเพื่อนำมะขามป้อมไปใช้ประโยชน์</span></strong><br />
<span style="background-color: yellow;">ต้านอนุมูลอิสระ : พบว่าสารจากมะขาม-ป้อมต้านอนุมูลอิสระได้ดีมาก แม้ว่ามะขามป้อมจะมีวิตามินซีสูงมากแต่ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระมิได้เกิดจากวิตามินซีเพียงอย่างเดียว ปัจจุบันพบว่าในมะขามป้อมมีสารพวกแทนนินซึ่งประกอบด้วย emblicanin A 37% emblicanin B 33% punigluconin 12% และ peduculagin 14%</span><br />
<strong><span style="background-color: yellow;">ต้านแบคทีเรีย</span></strong><br />
<span style="background-color: yellow;">ผลมะขามป้อม ทำให้เป็นกรดด้วยกรดเกลือ แล้วสกัดด้วยอีเทอร์ และแอลกอฮอล์ สารสกัดทั้งสองนี้มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของแบคทีเรีย แต่ไม่มีผลต่อเชื้อรา สารสกัดด้วยอีเทอร์มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียได้แรงกว่าสารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ ในความเข้มข้นขนาด ๐.๑๒ มก. ต่อ มล. จะยับยั้งการเจริญของเชื้อ Staphylococcus aureus, Salmonella typhosa และ Salmonella paratyphi และในความเข้มข้นขนาด ๐.๔๒ มก. ต่อมล. สามารถยับยั้งการเจริญของเชื้อ Staphylococcus albus,Salmonellaschottmulleri และ Shigella dysenteriae</span><br />
<span style="background-color: yellow;">น้ำสกัดจากเปลือกต้น มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเชื้อ Staphylococcus aureus, Streptococcus strain B, Pseudomonas aeruginosa และ Escherichia coli</span><br />
<strong><br /><span style="background-color: yellow;">ผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด</span></strong><span style="background-color: yellow;">สารสกัดจากผลมะขามป้อมยังมีฤทธิ์ป้องกันกล้ามเนื้อหัวใจตายบางส่วน โดยทดลองให้หนูใหญ่ที่ทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจตาย (โดยการฉีด isoproterenol เข้าใต้ผิวหนัง ขนาด ๘๕ มก.ต่อน้ำหนักตัว ๑ กก. ติดต่อกัน ๒ วัน) และกินสารสกัดด้วยแอลกอฮอล์จากผล ในขนาด ๑ กรัมต่อน้ำหนักตัว ๑ กก. ติดต่อกัน ๒ วัน ตรวจดูผลหลังจากฉีด isoproterenol เข็มแรกแล้ว ๔๘ ชั่วโมง หนูใหญ่กลุ่มที่ฉีด isoproterenol อย่างเดียว มี cardiac glycogen ลดลง และระดับของ SUOT, SGPT และ LDH เพิ่มขึ้นอย่างเด่นชัด ส่วนกลุ่มที่ฉีด isoproterenol และให้กินสารสกัดจากผลจะมีระดับของ cardiac glycogen เพิ่มขึ้น ระดับของเอนไซม์ SGOT, SGPT และ LDH ลดลงอย่างเด่นชัด </span><br />
<span style="background-color: yellow;">นอกจากนี้ ยังมีการทดลองพบว่าสารสกัดของมะขามป้อมมีฤทธิ์ลดไขมันในเลือดทั้งในสัตว์ทดลองและคน มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง มีฤทธิ์ต้านไวรัส มีฤทธิ์ลดการอักเสบ มีฤทธิ์ เพิ่มภูมิคุ้มกัน</span><br />
<strong><br /></strong><strong><span style="color: magenta;">มะขามป้อม<br />สรรพคุณตามตำรับยาไทย</span></strong><br />
<strong><span style="color: magenta;">แก้หวัด</span> </strong><br />
ผลมะขามป้อมมีสรรพ-คุณแก้หวัด แก้ไอได้ดี เป็นที่รู้กันในทุกประเทศที่มีมะขามป้อม จนปัจจุบันมีสิทธิบัตรจดในประเทศสหรัฐอเมริกาของตำรับยาที่มีส่วนผสมของ มะขามป้อมอยู่ระบุสรรพคุณในการแก้หวัด แก้ไข้ ซึ่งอาจเนื่องมาจากวิตามินซีหรือสาร ในกลุ่มแทนนิน<br />
<strong><span style="color: magenta;">อาการเป็นหวัด ไอ เจ็บคอ ปากคอแห้ง</span></strong><br />
ให้ใช้ผลสด ๑๕-๓๐ ผล คั้นเอาน้ำ มาจากผล หรือต้มทั้งผลแล้วดื่ม แทนน้ำเป็นครั้งคราว<br />
<strong><span style="color: magenta;">ไข้จากเปลี่ยนอากาศ</span></strong><br />
ใช้มะขามป้อมสดตำคั้นน้ำดื่ม จะช่วยลดไข้ได้ ดื่มวันละ ๓-๔ ครั้ง ครั้งละ ๑-๒ ช้อนชา น้ำคั้นมะขามป้อมเป็นยาเย็นช่วยลดความ ร้อน และระบายความร้อนออกจากร่างกาย โดยช่วยขับปัสสาวะและระบายท้อง<br />
<br />
<strong><span style="color: magenta;">ไอ เจ็บคอ เสมหะติดคอ</span></strong><br />
ตามตำรายาไทยเชื่อว่าของที่มีรสเปรี้ยวทุกชนิดช่วยละลายเสมหะ และหมอยา พื้นบ้านเชื่อว่ารสเปรี้ยวที่ละลายเสมหะและบำรุงเสียงได้ดีที่สุดคือมะขามป้อม ปัจจุบันมีการศึกษาพบว่าในมะขามป้อมมีสารที่ละลายน้ำได้มีฤทธิ์ละลายเสมหะ และที่โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรมีการพัฒนายาแก้ไอมะขามป้อมขึ้นทะเบียนยาเป็นยาแผนโบราณ เป็นที่นิยมของทั้งผู้ใช้ยาและแพทย์ โดยตำรับยาทำได้ง่ายๆ เพียงแต่ นำมะขามป้อมแห้งมาต้มแล้วแต่งรส<br />
มะขามป้อมที่จะนำมากินแก้ไอ เจ็บคอ ควรเลือกลูกที่แก่จัดจนผิวออกเหลือง<br />
เมื่อมีอาการเป็นหวัด ไอ ให้นำมะขามป้อมสดมาเคี้ยวอมกับเกลือทุกครั้งที่มีการไอ <br />
ถ้าไม่ไอแต่ยังมีไข้อยู่ก็ควรอมมะขามป้อมเพื่อให้ชุ่มคอและขับเสมหะ เป็นการป้องกันการไอได้ด้วย<br />
<strong><span style="color: magenta;">ละลายเสมหะ แก้การกระหายน้ำ</span></strong><br />
ใช้ผลแก่จัด มีรสขม อมเปรี้ยว อมฝาด เมื่อกินแล้วจะรู้สึกชุ่มคอ ใช้สำหรับช่วยละลายเสมหะ กระตุ้นให้เกิดน้ำลาย จึงช่วยแก้การกระหายน้ำได้ดี หรือใช้ผลแห้งประมาณ ๖-๑๐ กรัม ถ้าใช้ผลสดประมาณ ๑๐ กรัม ต้มกับน้ำดื่ม หรือคั้นเอาน้ำสำหรับดื่ม<br />
<strong><span style="color: magenta;">ขับเสมหะ</span> </strong><br />
หรือช่วยระบายของเสีย ให้ใช้ผลสด ๕-๑๕ ผล ต้มหรือคั้นน้ำมาดื่ม<br />
<strong><br /><span style="color: magenta;">บำรุงเสียง</span></strong><br />
มะขามป้อมสดสามารถช่วยบำรุงเสียงได้ เพราะเวลาอม มะขามป้อมจะทำให้ชุ่มคอ คอไม่แห้ง เสียงจะสดใส นักร้องสมัยก่อนมักจะเฉือนลูกมะขามป้อมชิ้นหนึ่งมาอมไว้จนร้องเสร็จเพื่อป้องกันไม่ให้เสียงแห้ง<br />
<strong><span style="color: magenta;">บำรุงผม</span></strong><br />
ผลแห้งของมะขามป้อมมีสรรพคุณ เป็นสารชะล้างอ่อนๆ คนอินเดียนิยมนำมา ใช้ทำเป็นแชมพูสระผม คนอินเดียเชื่อว่ามะขามป้อมบำรุงผม ช่วยทำให้ผมดกดำและป้องกันผมหงอกก่อนวัย ป้องกันผมร่วง <br />
ในอินเดียมีการนำมะขามป้อมมาทำเป็นน้ำมันบำรุงให้ผมดกดำ ป้องกันการหงอกก่อนวัย<br />
นำลูกมะขามป้อมมาฝานเป็นแว่นเล็กๆ ตากให้แห้งในที่ร่ม นำมาทอดในน้ำมันมะพร้าว ทอดจนเนื้อมะขามป้อมไหม้เกรียม แล้วกรองเก็บไว้ทาผมเป็นประจำ ยาน้ำมันนี้ ถ้าได้ เนื้อลูกสมอไทยและดอกชบาแดง ใส่ลงไปทอดด้วย จะทำให้น้ำมันมีสรรพคุณดียิ่งขึ้น ซึ่งตำรับนี้โรงพยาบาลเจ้าพระยา- อภัยภูเบศรได้พัฒนามาเป็นน้ำมันหมักผมมะขามป้อม สมอไทย และได้ใส่ดอกอัญชันลงไปแทนดอกชบา ซึ่งได้รับความนิยมสูงมาก วิธีทำก็ง่ายๆ ตามที่เขียนไว้ในสูตร<br />
น้ำแช่ลูกมะขามป้อมแห้งสามารถบำรุงผมได้ ขั้นตอนก็คือ นำลูกมะขามป้อมแห้ง ๑ กำมือ แช่ในน้ำ ๑ ขัน แช่ไว้ตลอดคืน เมื่อเวลาสระผมเสร็จแล้ว ให้เอาน้ำแช่มะขามป้อมนี้ล้างเป็นน้ำสุดท้าย<br />
มีการศึกษาพบว่าสารในมะขามป้อมช่วยกระตุ้นการงอกของผม และมีการจดสิทธิบัตรส่วนผสมที่มีมะขามป้อมที่ใช้กับเส้นผม<br />
<br />
<strong><span style="color: magenta;">บำรุงร่างกายให้แข็งแรง</span></strong><br />
มะขามป้อมมีรสเปรี้ยว ฝาด ขม เช่นเดียวกับสมอไทย จึงสามารถ แก้โรคต่างๆ ได้มากเช่นเดียวกับสมอไทย<br />
ตำรายาอินเดียยกย่องมะ ขามป้อมไว้มากว่า เป็นผลไม้บำรุงร่างกายที่ดีมาก ตำราบางเล่มถึงกับกล่าวว่า ถ้าคนอินเดียไม่มองข้ามมะขามป้อม คือเอามะขามป้อมมากินเป็นประจำวันละ ๑ ลูก ทุกวัน เขาเชื่อว่าคนอินเดียจะมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงกว่านี้มากนัก ทั้งนี้เพราะมะขามป้อมบำรุงอวัยวะแทบทุกส่วนของร่างกาย คือ บำรุงผม สมอง ดวงตา คอ หลอดลม ปอด หัวใจ กระเพาะ ลำไส้ ตับ ไต ตับอ่อน ผิวหนัง แก้น้ำเหลืองเสีย ปรับประจำเดือนให้มาปกติ บำรุงเลือด บำรุงกำลัง ช่วยลดความดันเลือดสูง ปัจจุบันมีการศึกษาพบประโยชน์มากมายของมะขามป้อมในการลดความดัน ลดน้ำตาลและลดไขมันในเลือด<br />
การกินมะขามป้อมช่วยควบคุม โรคเบาหวานทางอายุรเวท พบว่าการ ดื่มน้ำมะขามป้อมคั้นสด ๑ ช้อนโต๊ะ (๑๕ ซีซี) กับน้ำมะระขี้นกคั้นสด ๑ ถ้วย ทุกวันเป็นเวลาสองเดือนสามารถกระตุ้นให้ตับอ่อนหลั่งอินซูลินและลดระดับน้ำตาลในเลือด ได้ การกินยาตำรับนี้ต้องมีการควบคุม อาหารอย่างเข้มงวด และยาตำรับนี้ยังลดอาการแทรกซ้อนทางตาจากโรคเบาหวาน<br />
<strong><br /><span style="color: magenta;">ลักปิดลักเปิด</span></strong><br />
มะขามป้อมมีวิตามินซีสูงมาก และเป็นวิตามินซีธรรมชาติ ที่มีสรรพคุณดีกว่าวิตามินซีสังเคราะห์<br />
มีงานวิจัยชิ้นหนึ่ง ทด-ลองให้คนกินยาเม็ดวิตามินซีกับกินมะขามป้อมเปรียบเทียบกัน<br />
พบว่า วิตามินซีจากมะขามป้อมถูกดูดซึมเร็วกว่าวิตามินซีเม็ด ทั้งนี้อาจเป็นเพราะในมะขามป้อมมีสารอื่นๆ ที่ช่วยพาวิตามินซีเข้าสู่ร่างกายได้รวดเร็ว<br />
มะขามป้อมที่ผ่านการต้ม หรือตากแห้ง ทำให้วิตา-มินซีลดลง แต่ก็ยังเพียงพอที่จะใช้รักษาโรคลักปิดลักเปิดได้ ถ้าเก็บไว้ไม่เกิน ๑ ปี<br />
<strong><span style="color: magenta;">กระหายน้ำ</span></strong><br />
มะขามป้อมสดๆ เมื่อรู้สึกคอแห้ง กระหายน้ำจัด ถ้าดื่มน้ำมากกะทันหันจะทำ ให้จุกเสียดไม่สบายได้ ถ้าได้อมมะขามป้อมก่อน อาการกระหายน้ำและคอแห้งอย่างแรงจะรู้สึกดีขึ้นทันที ไม่ทำให้ ดื่มน้ำมากไป เหมาะแก่การเดินทางไกล วิ่งมาราธอน<br />
เวลาอมก็ใช้ฟันกัดลูกมะขามป้อมให้พอมีน้ำซึมออก มา แล้วดูดลงคอไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมด<br />
<strong><span style="color: magenta;">ท้องผูก</span></strong><br />
คนที่ท้องผูกประจำ ไม่ว่าจากสาเหตุใดก็ตาม ถ้าได้กินมะขามป้อมแล้วอาการท้องผูกจะหายไป<br />
เนื่องจากมะขามป้อมมีรสฝาด จะทำให้กินยากไปสักหน่อย ควรปรุงรสให้อร่อย ด้วยการนำมะขามป้อมมาผ่าแคะเม็ดออก (กินแต่เนื้อ) ประมาณ ๑๐ ลูก ใส่พริก เกลือ น้ำตาล ตำพอแหลก กินต่างผลไม้ แต่ควรกินก่อนนอนหรือตอนตื่นนอนใหม่ๆ ในขณะที่ท้องว่าง<br />
วิธีลดความฝาดของมะขามป้อม ก็คือแช่น้ำเกลือ มีขั้นตอนดังนี้<br />
ล้างมะขามป้อมให้สะอาด ลวกด้วยน้ำร้อน และนำไปแช่ในน้ำเกลือที่เค็มจัด แช่ไว้สัก ๒ วัน รสฝาดก็จะลดลง ยิ่งแช่นานรสฝาดก็ยิ่งหมดไป<br />
<strong><br /><span style="color: magenta;">ไข้ทับระดู</span></strong>นำมะขามป้อมแห้งจำนวนเท่ากับอายุของผู้ป่วย ลูกสมอไทยแห้งจำนวนเท่า กับอายุของผู้ป่วย ใบมะกาแห้ง ๑ กำมือ เกลือนิดหน่อย ใส่น้ำท่วมยา ต้มให้เดือดนาน ๑๕ นาที ในวันแรกที่กินให้กินเว้นระยะห่างทุก ๔-๖ ชั่วโมง ครั้งละ ๑ แก้ว วัน ต่อมาให้กินวันละ ๒ ครั้งครั้งละ ๑ แก้ว เช้า-เย็น กิน ๓ วันหาย หลังจากกินยาไปแล้ว ๑๒ ชั่วโมงอาการจะดีขึ้น คืออาการปวดหัวเมื่อยตัว ปวดท้อง ทุเลาลง<br />
<br />
<strong><span style="color: magenta;">คันจากเชื้อรา</span></strong><br />
ใช้รากมะขามป้อมสับเป็นชิ้นเล็กๆ พอประมาณ ต้มให้เดือดนาน ๑๕ นาที นำมาทาบริเวณที่มีเชื้อรา วันละ ๒ ครั้ง เช้า-เย็น <br />
หลังจากทาแล้วประ-มาณ ๒-๓ ชั่วโมงอาการคันจะค่อยๆ ลดลง และจะค่อยๆ หายไปภายใน ๑ สัปดาห์<br />
<strong><br /><span style="color: magenta;">น้ำกัดเท้า-ฮังกล้า</span></strong><br />
น้ำกัดเท้า หรือที่ชาวอีสานเรียกกันว่า "ฮังกล้า" เกิดจากการถอน ต้นกล้าแล้วเอารากกล้าฟาดตีกับข้อเท้าให้ดินโคลนหลุดออกจากรากกล้า ต่อมาเท้าเกิดโรคตุ่มคันขึ้น จะมีอาการคันมาก ยิ่งเกาก็ยิ่งแตกทั่วรอบข้อเท้า ภาคอีสานเป็นกันมาก บางคนก็เรียกว่า "เกลียดน้ำ" ให้ใช้เปลือก ต้นมะขามป้อมตำให้ละเอียด ผสมน้ำพอเปียกชะโลมให้ทั่ว รักษาได้<br />
<br />
ถ้าเกามากจนหนังถลอก น้ำเหลืองไหล ปวดแสบปวดร้อน คือโรคเป็นหนักแล้ว ให้เอาลูกมะขามป้อมแก่ๆ สดๆ มาใส่ในโพรงเหล็กผาลไถนา ใส่น้ำให้เต็มโพรงเหล็กผาลนั้น ตั้งไฟจนมะข้ามป้อมเละ และมีสีดำเหนียว เมื่อเอามาทาแล้วยาจะแห้งเข้าจนดำหมดทั้งหลังเท้าที่แตกเป็นน้ำเหลืองไหล แผลนั้นจะค่อยๆ หายไปจนเป็นปกติ<br />
นอกจากนี้แล้วก่อนลงนาหรือหลังจากขึ้นมาจากนา ชาวนาสมัยก่อนนิยมนำเปลือกต้นมะขามป้อมมาแช่เท้าเพื่อฆ่าเชื้อโรคและความฝาดของเปลือกมะขามป้อมยังช่วยตะกอนโปรตีนทำให้ผิวหนังของเท้าและข้อเท้าหนาขึ้น ทนทานต่อการเกิดน้ำกัดเท้ามากยิ่งขึ้น<br />
<strong><span style="color: magenta;">บิด</span></strong><br />
ถ่ายเป็นบิด ใช้เปลือกต้นมะขามป้อม ต้มใส่ข้าวเปลือกเจ้าดื่มต่างน้ำ<br />
ตำราอินเดียบอกว่า ลูกมะขามป้อมใช้แก้ท้องเสียและบิดได้ดี ด้วย การนำมะขามป้อมสด ๑ กำมือ ต้มกับน้ำ ๓-๔ แก้ว ต้มให้เดือดนาน ๑๐-๒๐ นาที ดื่มครั้งละ ๑ แก้ว ทุกครั้งที่ถ่าย หรือดื่มทุก ๒-๔ ชั่วโมง<br />
ใบมะขามป้อมมีสรรพคุณแก้บิดและท้องเสียได้เช่นกัน นำใบตำให้ละเอียด ดื่มครั้งละ ๑ ช้อนชา ทุก ๒-๔ ชั่วโมง<br />
ถ้าจะให้ดื่มง่ายควรผสมน้ำผึ้งเพื่อให้มีรสชาติกลมกล่อม<br />
<br />
<strong><span style="color: magenta;">ธาตุพิการ อาหารไม่ย่อย</span></strong><br />
นำลูกมะขามป้อมแห้ง ๓-๕ ลูก แช่ในน้ำ ๑ แก้ว ตลอดคืน ตื่นเช้าดื่มทั้งน้ำและกินเนื้อทุกวันจนกว่าอาการจะหาย <br />
มะขามป้อมยังแก้กระเพาะอาหารอักเสบและโรคกระเพาะอาหาร มีกรดมากเกินไปได้ด้วย <br />
ถ้าจะใช้แก้กระเพาะอาหารอักเสบ ให้กินผงลูกมะขามป้อมวันละ ๔ ครั้ง ครั้งละ ๑-๒ ช้อนชา ก่อนอาหารและก่อนนอน<br />
หลอดลมอักเสบ กระเพาะอาหารอักเสบ ใช้รากแห้ง ๑๕-๓๐ กรัมต้มกับน้ำ ดื่มแทนน้ำอย่างน้อยวันละ ๓-๔ ครั้ง<br />
<strong><br /><span style="color: magenta;">แก้น้ำเหลืองเสีย</span></strong><br />
คนที่มีน้ำเหลืองเสีย คือคน ที่เป็นแผลแล้วหายช้า แผลมีน้ำเหลืองไหลมาก หรือผิวหนังถูกอะไร นิดหน่อยก็คันแล้ว หรืออยู่ดีๆ คันทั่วตัว<br />
ในคนที่มีน้ำเหลืองเสียควรกิน มะข้ามป้อม ๑ ลูก หลังอาหารเป็นประจำทุกวัน<br />
<strong><span style="color: magenta;">แก้ผิวหนังอักเสบ เป็นผื่นคัน</span> </strong><br />
ใช้ใบสด ปริมาณพอเหมาะ ต้มกับน้ำปริมาณหนึ่งเท่าตัว ใช้อาบหรือ ชะล้างส่วนที่เป็น ให้ทำบ่อยๆ อย่างต่อเนื่องก็จะช่วยให้ผิวหนังดีขึ้น<br />
<strong><span style="color: magenta;">ขับพยาธิ</span></strong><br />
ใช้น้ำคั้นลูกมะขามป้อม ๑ ช้อนชา ผสมกับน้ำกะทิมะพร้าว ๑ ถ้วย ดื่มวันละ ๒ ครั้ง เช้า-เย็น ติดต่อกัน ๑ สัปดาห์ ขับพยาธิตัวตืด และพยาธิปากขอ<br />
<strong><span style="color: magenta;">หิด ผื่นคัน</span></strong><br />
นำเมล็ดในลูกมะขามป้อม มาเผาจนเป็นถ่าน บดให้ละเอียด ผสมด้วยน้ำมันพืช พอให้ยาเหลว ข้น ทาวันละ ๒-๓ ครั้ง น้ำมันนี้ใช้ทาดับพิษน้ำร้อนลวก และใช้รักษาแผลได้ด้วย<br />
<strong><span style="color: magenta;">แก้ปวดฟัน</span></strong><br />
แก้ปวดฟัน ใช้ปมกิ่งก้านต้มกับน้ำ ใช้อมและบ้วนปาก บ่อยๆ จะบรรเทาอาการปวดฟัน<br />
<strong><br /></strong><br />
<strong><br /></strong><br />
<strong>ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิง</strong><br />
๑. A Bulletin from TIFAC, Intellectual Property Rights (IPR); Vol 7 No.5 May, 2001.<br />
๒. สุพจน์ อัศวพันธุ์ธนกุล,. มะขามป้อม ผลไม้ที่ดีที่สุด. ข่าวสารสมุนไพร ฉบับที่ 39 ประจำเดือน กันยายน-พฤศจิกายน ๒๕๓๒<br />
๓. นันทวัน บุณยะประภัศร, อรนุช โชคชัยเจริญพร, บรรณาธิการ. สมุนไพรไม้พื้นบ้าน (3). กรุงเทพมหานคร : บริษัทประชาชน จำกัด; 2542: 510-9.<br />
๔. สุภาภรณ์ ปิติพร. สมุนไพรอภัยภูเบศรสืบสานภูมิปัญญาไทย. กรุงเทพมหานคร: ปรมัตถ์การพิมพ์; 2547:64-5.<br />
๕. Scartezzin P., Speroni E.. Review on some plants of Indian traditional medicine with antioxidant activity. Journal of Ethnopharmacology 71(2000)23-43.<br />
๖. http:/www.indiamart.com/asrani-essential-oils<br />
๗. http:/www.himalayahealthcare.com/herbfinder/h_embelo.htmhttp://food-plants.blogspot.com/http://www.blogger.com/profile/04223739952562743625noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6514530156973123374.post-24380754733568876962012-07-07T09:39:00.001+07:002012-07-09T14:40:55.013+07:00ใบย่านาง ลดไขมันในเส้นเลือด แก้โรคเบาหวาน กรมไหลย้อน<br />
<div style="text-align: center;">
<span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;"><span style="font-size: 14pt; line-height: 1.3em;"><span style="background-color: #fff2cc; color: black;">ใบย่านาง สมุนไพรลดความอ้วน,แก้โรคเบาหวาน,ความดัน,หัวใจ, มะเร็งตับ,<br />ภูมิแพ้,ร้อนใน,ไซนัสจมูกตัน,ไมเกรน,ริดสีดวงทวาร,ปอดร้อนนอนกรน กรดไหลย้อน</span></span></span></span></div>
<div style="text-align: center;">
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiErVw71CFr7omq7910EbZ9gakIMeI-QaNDQeK97i3IdYyhLg6okJCN_hyFOt_2ab6OsNU4r_I9g919i0p0D92IEzjZ8b6TNtnAFOxgFT4yywEf6YzodUINt39p_PSJWo12lctWwpNmRjQ/s1600/%E0%B9%83%E0%B8%9A%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%87.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="260" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiErVw71CFr7omq7910EbZ9gakIMeI-QaNDQeK97i3IdYyhLg6okJCN_hyFOt_2ab6OsNU4r_I9g919i0p0D92IEzjZ8b6TNtnAFOxgFT4yywEf6YzodUINt39p_PSJWo12lctWwpNmRjQ/s320/%E0%B9%83%E0%B8%9A%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%87.png" width="320" /></a></div>
<br />
สรรพคุณไม่แพ้ ฮว่านง็อก<br />
<div align="left">
วงศ์ MENISPERMACEAE</div>
<div align="left">
ชื่อวิทยาศาสตร์ Tiliacora triandra (Colebr.) Diels</div>
<div align="left">
ชื่อพื้นเมือง</div>
<div align="left">
ภาคกลาง เถาย่านาง, เถาหญ้านาง, เถาวัลย์เขียว, หญ้าภคินี</div>
<div align="left">
เชียงใหม่ จ้อยนาง, จอยนาง, ผักจอยนาง</div>
<div align="left">
ภาคใต้ ย่านนาง, ยานนาง, ขันยอ</div>
<div align="left">
สุราษฎร์ธานี ยาดนาง, วันยอ</div>
<div align="left">
ภาคอีสาน ย่านาง</div>
<div align="left">
ไม่ระบุถิ่น เครือย่านาง, ปู่เจ้าเขาเขียว, เถาเขียว, เครือเขางาม</div>
<div align="left">
<br /></div>
<div align="left">
<strong><span style="color: #38761d;">ประโยชน์ทางยา</span></strong></div>
<div align="left">
สารเคมีที่สำคัญ</div>
<div align="left">
รากย่านางมี isoquinolone alkaloid ได้แก่ Tiliacorine, Tiliacorinine, Nortiliacorinine A, Tiliacotinine 2-N-oxde และ tiliandrine, tetraandrine, D-isochondendrine (isberberine)</div>
<div align="left">
<br /></div>
<div align="left">
<strong><span style="color: #38761d;">การทดลองทางห้องปฏิบัติการ</span></strong></div>
<div align="left">
จากการทดลองพบว่าสารสกัดจากรากย่านางมีฤทธิ์ต้านเชื้อมาลาเรียชนิด ฟัลซิพารัมในหลอดทดลอง</div>
<div align="left">
ใบ รสจืดขม รับประทาน ถอนพิษผิดสำแดง แก้ไข้ ตัวร้อน แก้ไข้รากสาด ไข้พิษ ไข้หัว ไข้กลับซ้ำ ใช้เข้ายาเขียว ทำยาพอก ลิ้นกระด้าง คางแข็ง กวาดคอ แก้ไข้ฝีดาษ ไข้ดำแดงเถา</div>
<div align="left">
ราก รสจืดขม กระทุ้งพิษไข้ แก้ไข้ ปรุงยาแก้ไข้รากสาด ไข้กลับ ไข้พิษ ไข้ผิดสำแดง ไข้เหนือ ไข้หัวจำพวกเหือดหัด สุกใส ฝีดาษ ไข้กาฬ รับประทานแก้พิษเมาเบื่อแก้เมสุรา แก้พิษภายในให้ตกสิ้น บำรุงหัวใจ บำรุงธาตุ แก้โรคหัวใจบวม ถอนพิษผิดสำแดง แก่ไม่ผูก ไม่ถ่าย แก้กำเดา แก้ลม</div>
<div align="left">
ทั้งต้น ปรุงเป็นยาแก้ไข้กลับ</div>
<div align="left">
1. แก้ไข้</div>
<div align="left">
ใช้รากย่านางแห้ง 1 กำมือ ประมาณ 15 กรัม ต้มกับน้ำ 2 แก้วครึ่ง เคี่ยวให้เหลือ 2 แก้ว ให้ดื่มครั้งละ &frac12; แก้ว ก่อนอาหาร 3 เวลา</div>
<div align="left">
2. แก้ป่วง (ปวดท้องเพราะกินอาหารผิดสำแดง)</div>
<div align="left">
ใช้รากย่านางแดงและรากมะปรางหวาน ฝนกับน้ำอุ่น แต่ไม่ถึงกับข้น ดื่มครั้งละ &frac12;-1 แก้วต่อครั้ง วันละ 3-4 ครั้ง หรือทุกๆ 2 ชั่วโมง ถ้าไม่มีรากมะปรางหวาน ก็ใช้รากย่านางแดงอย่างเดียวก็ได้ หรือถ้าให้ดียิ่งขึ้น ใช้รากมะขามฝนรวมด้วย</div>
<div align="left">
3. ถอนพิษเบื่อเมาในอาหาร เช่น เห็ด กลอย ใช้รากย่านางต้นและใบ 1 กำมือ ตำผสมกับข้าวสารเจ้า 1 หยิบมือ เติมน้ำคั้นให้ได้ 1 แก้ว กรองด้วยผ้าขาวบาง ใส่เกลือและน้ำตาลเล็กน้อยพอดื่มง่ายให้หมดทั้งแก้ว ทำให้อาเจียนออกมา จะช่วยให้ดีขึ้น</div>
<div align="left">
4. ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้</div>
<div align="left">
ใช้หัวย่านางเคี่ยวกับน้ำ 3 ส่วน ให้เหลือ 1 ส่วนดื่มครั้งละ &frac12; แก้ว</div>
<div align="left">
การใช้เป็นยาพื้นบ้านในภาคอีสาน</div>
<div align="left">
1. ใช้ราก ต้มเป็นยาแก้อีสุกอีใส ตุ่มผื่น</div>
<div align="left">
2. ใช้รากย่านางผสมรากหมาน้อย ต้มแก้ไข้มาลาเรีย</div>
<div align="left">
3. ใช้ราก ต้มขับพิษต่างๆ</div>
<div align="left">
<br /></div>
<div align="left">
<strong>รสและคุณค่าทางโภชนาการ</strong></div>
<div align="left">
ใบย่านางรสจืด</div>
<div align="left">
คุณค่าทางโภชนาการ ข้อมูลจากหนังสือ Thai Food Composition Institute of Nutrition, Mahidol University (สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล) พบว่า ปริมาณสารสำคัญที่มีมากและโดดเด่นในใบย่านาง คือ ไฟเบอร์ แคลเซี่ยม เหล็ก เบต้าแคโรทีน วิตามินเอ</div>
<div align="left">
<br /></div>
<div align="left">
<strong>ใบย่านาง 100 กรัม ให้คุณค่าโภชนาการดังนี้</strong></div>
<div align="left">
พลังงาน 95 กิโลแคลอรี่</div>
<div align="left">
เส้นใย 7.9 กรัม</div>
<div align="left">
แคลเซี่นม 155 มิลลิกรัม</div>
<div align="left">
ฟอสฟอรัส 11 มิลลิกรัม</div>
<div align="left">
เหล็ก 7.0 มิลลิกรัม</div>
<div align="left">
วิตามินเอ 30625 IU</div>
<div align="left">
วิตามินบีหนึ่ง 0.03 มิลลิกรัม</div>
<div align="left">
วิตามินบีสอง 0.36 มิลลิกรัม</div>
<div align="left">
ไนอาซิน 1.4 มิลลิกรัม</div>
<div align="left">
วิตามินซี 141 มิลลิกรัม</div>
<div align="left">
หรือโปรตีน 15.5 เปอร์เซนต์</div>
<div align="left">
ฟอสฟอรัส 0.24 เปอร์เซนต์</div>
<div align="left">
โพแทสเซี่ยม 1.29 เปอร์เซนต์</div>
<div align="left">
แคลเซี่ยม 1.42 เปอร์เซนต์</div>
<div align="left">
ADF 33.7 เปอร์เซนต์</div>
<div align="left">
NDF 46.8 เปอร์เซนต์</div>
<div align="left">
DMD 62.0 เปอร์เซนต์</div>
<div align="left">
แทนนิน 0.21 เปอร์เซนต์</div>
<div align="left">
<br /></div>
<div align="left">
<span style="background-color: yellow;"><span style="color: #0b5394;"><strong>ข้อควรระวัง (ขลำ) ต้องทำให้สุก</strong>เป็นที่น่าสังเกตว่า คนอีสานไม่มีข้อห้ามในการกินหน่อไม้ในคนที่สูงอายุ ซึ่งแตกต่างจากทางภาคอื่นๆ ที่มีข้อห้ามในการบริโภคหน่อไม้ เมื่อมีอายุมากขึ้น โดยเชื่อกันว่าหน่อไม้มีผลทำให้ปวดข้อ แต่คนอีสานมีวัฒนธรรมการกินหน่อไม้คู่กับย่านางเสมอ จึงไม่มีปัญหาเหมือนการกินหน่อไม้ของภาคอื่นๆ</span></span></div>
<div align="left">
<span style="background-color: yellow; color: red;">-------------------------------------- จบการทดลองให้ห้องทดสอบ------------------------------------------------------</span></div>
<div align="left">
<br /></div>
<h3 align="left">
<span style="color: magenta;">ต่อไปเป็นข้อมูลของผมที่ทดสอบด้วยตัวเอง</span></h3>
<div align="left">
ผมชื่อ ศุภวัตร ครับผมหนัก 125 กิโล ครับ ก่อนที่ผมจะเขียนบทความนี้ผมเองก็ไม่ได้เชื่อเรื่องสมุนไพรทุกอย่างและถ้าไม่ได้ทดสอบเองก็คงไม่เชื่อแบบสนิทใจ ผมจึงได้ไปตรวจไขมันในเส้นเลือดมาพบว่ามี 220 ครับ ผมได้เคยหาข้อมูลมาว่ามีสมุนไพรหลายตัวที่ช่วยลดได้เช่นเมล็ดดอกคำฝอย หรือ กระเจียบแดง แต่สำหรับผมคิดว่าย่านางมีประโยชน์หลายด้านเลยเอามาทดสอบดูครับ ผมเอาใบสดมาลวกน้ำร้อนเพื่อฆ่าเชื้อโรคและ<span style="color: magenta;"><u>นำมาคั้นน้ำทานโดยใช้ใบสดประมาณ 10 ใบ คั้นได้เท่าไหร่ผมเติมน้ำให้เต็มแก้ว แล้วดื่มครับ จะบอกว่าเหม็นเขียวสุดๆ ผมเลยปรับใหม่ ผสมกับน้ำใบเตย น้ำผึ้ง คราวนี้ทานง่ายครับสบายๆ ทานวันและ 1 แก้ว 14 วันครับ ไปตรวจใหม่ ไม่น่าเชื่อว่า ไขมันผมลดเหลือ 200 ครับ</u></span> ส่วนเรื่องอื่นผมเองไม่ขอยืนยันในสรรพคุณเพราะผมเองก็ยังไม่ได้ทดสอบเองแต่เท่าที่หามาเค้าก็มีคนหายจากเบาหวานนะครับ แต่ที่แน่ๆ <span style="color: magenta;">ไขมันในเส้นเลือดลดแน่นอนครับ</span>และก็ตื่นมาจะสดชื่น ที่เค้าเรียกว่ากระฉับกระเฉง อ่านต่อด้านล่างนะครับ </div>
<div align="left">
<br /></div>
<div align="center">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEigXTqNJCa-LIBYu3p8ThoVfYg5pQQWDEDM7XPt8uogVNiTvM6Qyqb-42GKPztCEafi2gNJebpaaBEmyP6xDiCu_LRVsD6n2SRFf63HEpHoP00VYFaV4rgoc53SRDzX-LsuxwBOvRTylrI/s1600/%E0%B9%83%E0%B8%9A%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%872.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="290" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEigXTqNJCa-LIBYu3p8ThoVfYg5pQQWDEDM7XPt8uogVNiTvM6Qyqb-42GKPztCEafi2gNJebpaaBEmyP6xDiCu_LRVsD6n2SRFf63HEpHoP00VYFaV4rgoc53SRDzX-LsuxwBOvRTylrI/s320/%E0%B9%83%E0%B8%9A%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%872.png" width="320" /></a></div>
<h3 align="left">
</h3>
<h3 align="left">
<span style="background-color: yellow; color: red;">-------------------------------------- จบการทดลองของผมเอง-----------------------------------------------------</span></h3>
<h3 align="left">
ต่อไปเป็นข้อมูลของหมอสมุนไพร</h3>
<div align="left">
<span style="background-color: yellow; font-family: Verdana; font-size: x-small;">หมอเขียวกล่าวไว้แบบนี้</span></div>
<div align="left">
<span style="background-color: yellow; color: black; font-family: Verdana; font-size: x-small;">กระผมพบความมหัศจรรย์ของย่านางครั้งแรก เมื่อคุณแม่ของกระผมตกเลือดจากมดลูกอย่างรุ่นแรง หลังจากที่กระผมตัดสินใจใช้ย่านาง เป็นสมุนไพรหลักในการบำบัด อาการของคุณแม่ก็ทุเลาอย่างรวดเร็วภายใน 3 วัน เลือดหยุดไหล เมื่อใช้ย่านางบำบัดต่อเนื่องอีก 3 เดือนต่อมา มดลูกที่โต 16 เซนติเมตร ก็ยุบลงเหลือเท่าขนาดปกติ คือ เท่าผลชมพู่ ผิวมดลูกที่ขรุขระเหมือนหนังคางคกหายไป อาการตกขาวก็หายไปด้วย</span></div>
<div align="left">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="background-color: yellow; color: black;"> ต่อมากระผมทดลองใช้ย่านางกับผู้ป่วยมะเร็งตับ ผู้ป่วยก็อาการดีขึ้น เมื่อครบ 3 เดือนไปตรวจอุลตราซาวด์ พบว่ามะเร็งฝ่อลง จากนั้นก็ทดลองกับผู้ป่วยโรคเกาต์ให้ดื่มน้ำย่านางต่อเนื่อง 3 เดือน อาการปวดข้อหายไป ไปตรวจที่โรงพยาบาลไม่พบโรคเกาต์ ซึ่งทางการแพทย์แผนปัจจุบัน บอกว่าเป็นโรคที่รักษาไม่หาย ได้ทดลองกับผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูง หลังจากดื่มน้ำย่านางต่อเนื่อง พบว่าสามารถลดน้ำตาลในเลือด และลดความดันโลหิตได้ หลังจากนั้นกระผมได้ข้อมูลจากคนแก่อายุ 77 ปี คนหนึ่งที่ดื่มน้ำย่านางต่อเนื่องกัน 1 เดือน พบว่าผมที่เคยขาวกลับเปลี่ยนเป็นสีเทา และมีสีดำแซม ลูกสาวของคนแก่ดังกล่าวเชื้อราทำลายเล็บ รักษาด้วยการทา และกินยาแผนปัจจุบันไม่หาย พอดื่มน้ำย่านางได้ 10 วัน ก็ทุเลาอย่างรวดเร็ว </span></span></span></div>
<div align="left">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="background-color: yellow; color: black;"> กระผมได้ทดลองให้น้ำย่านางกับผู้ป่วยอีกหลายโรคหลายอาการไม่ว่าจะเป็นอาการไข้ขึ้น ปวดหัว ปวดเมื่อยตามร่างกาย ตุ่ม ผื่นคัน และอาการอื่น ๆ ก็พบว่าอาการทุเลาอย่างรวดเร็ว กระผมได้ข้อมูลจากผู้ป่วยหลายคนที่นำย่านางไปใช้บำบัดรักษาให้ทุเลาเบาบางหรือหายได้</span></span></span></div>
<div align="left">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="background-color: yellow; color: black;"> ดังนั้น กระผมจึงได้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับย่านาง เผื่อว่าย่านางอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยบำบัด บรรเทาทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บของญาติพี่น้องของเพื่อนร่วมโลกได้บ้าง</span></span></span></div>
<h3 align="left">
</h3>
</div>
<span style="font-family: verdana,geneva;"><strong> </strong></span><br />
<div style="text-align: left;">
<span style="color: blue; font-size: large;">โรคที่เกิดจากภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกิน แก้ด้วยอาหาร ผัก-ผลไม้,สมุนไพร ฤทธิ์เย็น</span><br />
<div style="text-align: left;">
<span style="font-size: 15pt; line-height: 1.3em;">ภาวะร้อนเกินและเย็นเกินที่เกิดขึ้นพร้อมกัน</span><br />
1. ไข้สูงแต่หนาวสั่นหรือเย็นมือเย็นเท้า <br />
2. ปวดหัวตัวร้อนร่วมกับท้องอืด <br />
3. ปวด/บวม/แดง/ร้อนร่วมกับมึนชาตามเนื้อตัวแขนขา<br />
<span style="color: blue;">ภาวะร้อนเกินและเย็นเกินที่เกิดขึ้นพร้อมกันแก้ด้วยสมุนไพรฤทธ์เย็น แต่นำไปต้ม<br />หรือเติมน้ำร้อน ดื่มขณะอุ่นๆ หรือสมุนไพรฤทธ์ร้อน-เย็นผสมกัน</span><br />
<br /></div>
เมื่อไรที่ควรทานย่านาง ? </div>
<ol>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">ตาแดง ตาแห้ง แสบตา ปวดตา ตามัว ขี้ตาข้น เหนียว หรือไม่ค่อยมีขี้ตา</span></span></span></span></div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">มีสิว ฝ้า</span></span></span></span></div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">มีตุ่มแผล ออกร้อนในช่องปาก เหงือกอักเสบ</span></span></span></span></div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">นอนกรน ปากคอแห้ง ริมฝีปากแห้งแตกเป็นขุย</span></span></span></span></div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">ผมหงอกก่อนวัย รูขุมขนขยายโดยเฉพาะบริเวณหน้าอก คอ ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง</span></span></span></span></div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">ไข้ขึ้น ปวดหัว ตัวร้อน ครั่นเนื้อครั่นตัว</span></span></span></span></div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">มีเส้นเลือดขอดตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เส้นเลือดฝอยแตก ใต้ผิวหนัง มีรอยจ้ำเขียวคล้ำ</span></span></span></span></div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">ปวดบวมแดงร้อนตามร่างกายหรือตามข้อ</span></span></span></span></div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">กล้ามเนื้อเกร็งค้าง กดเจ็บ เป็นตะคริวบ่อย ๆ</span></span></span></span></div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">ผิวหนังผิดปกติคล้ายรอยไหม้ เกิดฝึหนอง น้ำเหลืองเสียตามร่างกาย</span></span></span></span></div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">ตกกระสีน้ำตาลหรือสีดำตามร่างกาย</span></span></span></span></div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">ท้องผูก อุจจาระแข็ง หรือเป็นก้อนเล็ก ๆ คล้ายขี้แพะ บางครั้งมีท้องเสียแทรก</span></span></span></span></div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">ปัสสาวะมีปริมาณน้อย สีเข้ม ปัสสาวะบ่อย แสบขัด ถ้าเป็นมาก ๆ จะเป็นสีน้ำล้างเนื้อ หรือมีเลือดปนออกมากับปัสสาวะด้วย มักลุกปัสสาวะช่วงเที่ยงคืนถึงตี 2 (คนร่างกายปกติ สมดุล จะไม่ตื่น ปัสสาวะกลางดึก) </span></span></span></span></div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">ออกร้อนท้อง แสบท้อง ปวดท้อง บางครั้งมีอาการ ท้องอืดร่วมด้วย</span></span></span></span></div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">มีผื่นที่ผิวหนัง ปื้นแดงคัน หรือมีตุ่มใสคัน</span></span></span></span></div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">เป็นเริม งูสวัด</span></span></span></span></div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">หายใจร้อน เสมหะเหนียวข้น ขาวขุ่น สีเหลืองหรือสีเขียว บางทีเสมหะพันคอ</span></span></span></span></div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">โดยสารรถยนต์มักอ่อนเพลีย และหลับขณะเดินทาง</span></span></span></span></div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">เลือดกำเดาออก</span></span></span></span></div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">มักง่วงนอนหลังกินข้าวอิ่มใหม่ ๆ</span></span></span></span></div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">เป็นมากจะยกแขนขึ้นไม่สุด ไหล่ติด</span></span></span></span></div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">เล็บมือ เล็บเท้า ขวางสั้น ผุ ฉีกง่าย มีสีน้ำตาลหรือดำคล้ำ อักเสบบวดแดงที่โคนแล็บ</span></span></span></span></div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">หน้ามืด เป็นลม วิงเวียน บ้านหมุน คลื่นไส้ อาเจียน มักแสดงอาการเมื่อยอยู่ในที่อับ หรืออากาศร้อน หรือเปลี่ยนอิริยาบถเร็วเกิน หรือทำงานเกินกำลัง</span></span></span></span></div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">เจ็บเหมือนมีเข็มแทงหรือไฟฟ้าช๊อต หรือร้อนเหมือนไฟเผาตามร่างกาย</span></span></span></span></div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">อ่อนล้า อ่อนเพลีย แม้นอนพักก็ไม่หาย</span></span></span></span></div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">รู้สึกร้อนแต่เหงื่อไม่ออก</span></span></span></span></div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">เจ็บปลายลิ้น แสดงว่าหัวใจร้อนมาก ถ้าเป็นมาก ๆ จะเจ็บแปลบที่หน้าอก และอาจร้าวไปที่แขน</span></span></span></span></div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">เจ็บคอ เสียงแหบ คอแห้ง</span></span></span></span></div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">หิวมาก หิวบ่อย หูอื้อ ตาลาย ลมออกหู หูตึง</span></span></span></span></div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">ส้นเท้าแตก ส้นเท้าอักเสบ เจ็บส้นเท้า รองช้ำ ออกร้อน บางครั้งเหมือนไฟช็อต</span></span></span></span></div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">เกร็ง ชัก</span></span></span></span></div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">โรคที่เกิดจากภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกิน ได้แก่ โรคหัวใจ เป็นหวัดร้อน ไซนัสอักเสบ หลอดลมอักเสบ กล่องเสียงอักเสบ ตับอักเสบ กระเพาะอาหารลำไส้อักเสบ ไทรอยด์เป็นพิษ ริดสีดวงทวาร มดลูกโต ตกขาว ตกเลือด ปวดมดลูก หอบหืด ไตอักเสบ ไตวาย นิ่วไต นิ่วกระเพาะปัสสาวะ นิ่วถุงน้ำดี กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ไส้เลื่อน ต่อมลูกหมากโต โรคเกาต์ ความดันโลหิตสูง เนื้องอก มะเร็ง พิษของแมลงสัตว์กัดต่อย</span></span></span></span></div>
</li>
</ol>
<div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;"> <strong>วิธีใช้</strong></span></span></span></span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;"><span style="font-size: small;"><strong> </strong><span style="font-size: x-small;">ใช้ใบย่านางในการเพิ่มคลอโรฟิล คุ้มครองเซลล์ ฟื้นฟูเซลล์ ปรับสมดุล บำบัดหรือบรรเทาอาการที่เกิดจากภาวะไม่สมดุล แบบร้อนเกิน ดังนี้</span></span></span></span></span></span></div>
<ol>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"> </span></span></span><span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">เด็ก ใช้ใบย่านาง 1-5 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว (200-300 ซี.ซี.)</span></span></span></span></span></span></div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">ผู้ใหญ่ที่รูปร่างผอม บาง เล็ก ทำงานไม่ทน ใช้ 5-7 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว</span></span></span></span></span></span></div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">ผู้ใหญ่ที่รูปร่างผอม บาง เล็ก ทำงานทน ใช้ 7-10 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว</span></span></span></span></span></span></div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">ผู้ใหญ่ที่รูปร่างสมส่วนถึงตัวโต ใช้ 10-20 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว </span></span></span></span></span></span></div>
</li>
</ol>
<div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;"> </span></span></span></span></span></span><span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;"><strong><span style="background-color: yellow; color: red;">ตัวอย่าง</span></strong><span style="font-family: verdana, geneva;"><span style="background-color: yellow; color: red;"> ประสบการณ์ของผู้ป่วย (บางส่วน) ที่ใช้ใบย่านางแก้ไขปัญหาสุขภาพ จนมีผลให้อาการเจ็บป่วยเบาบางลง</span> </span></span></span></span></span></span></span></div>
<ol>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"> </span></span><span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">นางครั่ง มีทรัพย์ อายุ 53 ปี 28 หมู่ 7 ตำบล ดอนตาล อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร เป็นเนื้องงอกที่มดลูก มดลูกโต ตกเลือด ตกขาว มึนชา ปวดตามร่างกาย ดื่มน้ำย่านางพร้อมกับปฏิบัติตัวแก้ภาวะร้อนเกิน อาการทุเลาตามลำดับ หลงจากปฏิบัติได้ 3 เดือนอาการ ดังกล่าวหายไป</span></span></span></span></span></span></div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">นางสมนึก ห้องแซง อายุ 67 ปี 51/386 หมู่ 1 ตำบลนิคมคำสร้อย อำเภอนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร เป็นมะเร็งปอดดื่มน้ำย่านาง พร้อมปรับสมดุลร้อน-เย็น ภายใน 3 เดือนผ่านไป อาการทุเลาลงมาก ไปทำอุลตร้าซาวด์ พบว่าก้อนมะเร็งฝ่อลง</span></span></span></span></span></span></div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">นางทองจีน ยิ้มใส่ อายุ 55 ปี 175 หมุ่ 12 ตำบลบุ่ง อำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ เป็นมะเร็งตับ ดื่มน้ำย่านางพร้อมกับปฎิบัติตัวแก้ภาวะร้อนเกิน 3 เดือนผ่านไป อาการทุเลาลงมาก ไปตรวจอุลตราซาวด์ พบว่าก้อนมะเร็งฝ่อลง</span></span></span></span></span></span></div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">นางผัน ถนอมบุญ อายุ 45 ปี 109 หมู่ 10 ตำบลจานลาน อำเภอพนา จังหวัดอำนาจเจริญ เป็นมะเร็งมดลูก ดื่มน้ำย่านางพร้อมกับปฏิบัติตัวแก้ภาวะร้อนเกินได้ 2 สัปดาห์ อาการทุเลาลงมาก พอได้ 2 เดือน ไปตรวจที่โรงพยาบาลไม่พบเซลล์มะเร็ง</span></span></span></span></span></span></div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">นางสาวสงัด สีน้ำเงิน อายุ 58 ปี 442 หมุ่ 1 ตำบลในเมือง อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา เป็นโรคหัวใจ โรคไต โรคกระเพาะ อาหารอักเสบ เนื้องอกที่เต้านม ดื่มน้ำย่านางพร้อมกับปฏิบัติตัวแก้ภาวะร้อนเกิน 1 เดือน อาการทุเลาลงมาก เนื้องอกที่เต้านมยุบหายไป</span></span></span></span></span></span></div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">นางอัมพร ทองด้วง อายุประมาณ 40 ปี 149 หมู่ 12 ตำบลโพธิ์ไทร อำเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร มีอาการปัสสาวะแสบขัดออกร้อนในทางเดินปัสสาวะ เป็นมา 2 ปีเศษ ๆ รักษาที่คลินิก และโรงพยาบาลหลายแห่งไม่ดีขึ้น เมื่อดื่มน้ำย่านางผสมใบเตยและผักบุ้งอาการทุเลาอย่างมากภายใน 3 วัน ดื่มต่อเนื่องได้ 3 สัปดาห์ ก็หายขาด</span></span></span></span></span></span></div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">นางสมัย เนากำแพง อายุ 42 ปี 196 ตำบลบุ่ง อำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ เป็นไตอักเสบเรื้องรังมา 5 ปี เมื่อดื่มน้ำย่านางและปฏิบัติตัวแก้ภาวะร้อนเกินได้ 7 วัน อาการทุเลาจนเป็นปกติ</span></span></span></span></span></span></div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">นายดาว เนากำแพง อายุประมาณ 45 ปี 196 ตำบลบุ่ง อำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ นอนกรนเป็นประจำ พอดื่มน้ำย่านางพร้อมกับรับประทานอาหารฤทธิ์เย็นอาการก็หายไปภายในหนึ่งสัปดาห์</span></span></span></span></span></span></div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">ชาวไร่อ้อยคนหนึ่งที่จังหวัดนครราชสีมา หลังจากตัดอ้อยจำนวนหลายไร่ มีอาการปวดที่แขน กินยาแผนปัจจุบันติดต่อกันเป็นเดือนยังไม่ทุเลา พอดื่มน้ำย่านางอาการก็ทุเลาลง จนหายเป็นปกติภายใน 1-2 สัปดาห์</span></span></span></span></span></span></div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">คุณตู่ เจ้าของร้าน่อานนท์ประดับยนต์ 344/1 หมู่ 5 ถนนศรีสะเกษ-ขุขันธ์ ตำบลหนองครก อำเภอเมือง จังหวัดศรีษะเกษ เล็บมือผุ ถูกทำลายลุกลามไปครึ่งเล็บ ไปตรวจกับแพทย์แผนปัจจุบันบอกว่าเป็นเชื้อรา ให้ยาแผนปัจจุบันมารับประทานพร้อมยาทา เป็นเวลา 16 ปี อาการไม่ทุเลา จึงหยุดยาแผนปัจจุบัน ทดลองดื่มน้ำย่านางได้ 15 วัน อาการเริ่มทุเลา ดื่มได้ 1 เดือน อาการดีขึ้นตามลำดับเกือบเป็นปกติ</span></span></span></span></span></span></div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;">นางจำปา สุวะไกร อายุ 33 ปี 106 หมู่ 5 ตำบลคึมใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ เป็นโรคกระเพาะอาหาร-ลำไส้อักเสบ ไขม้นพอกตับและตกขาวเรื้อรัง กินยาแผนปัจจุบันอาการไม่ทุเลา เมื่อดื่มน้ำย่านาง กินหญ้าปักกิ่ง กล้วยดิบและขมิ้น และกินอาหารฤทธิ์เย็น สวนล้างลำไส้ใหญ่ อาการทุเลาลงภายใน 5 วัน เมื่อทำต่อเนื่องอาการต่าง ๆ ดีขึ้นตามลำดับ จนได้ 2 ปี ไปตรวจที่โรงพยาบาล ไม่พบไขมันพอกตับ</span></span></span></span></span></span></div>
</li>
</ol>
<div style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;"><span style="font-size: small;"><span style="font-size: x-small;"> </span></span></span></span></span></span><span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: verdana,geneva;">ข้อมูล จากส่วนหนึ่งของ หนังสือ ย่านาง โดยหมอเขียว </span></span></div>
<div style="text-align: left;">
และ <a href="http://www.kasetporpeang.com/forums/index.php?topic=12019.0">http://www.kasetporpeang.com/forums/index.php?topic=12019.0</a></div>http://food-plants.blogspot.com/http://www.blogger.com/profile/04223739952562743625noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-6514530156973123374.post-2350528830686396782012-07-06T23:15:00.001+07:002012-07-17T11:02:03.267+07:00ใบบัวบก ป้องกันมะเร็งลำไส้ บำรุงสมอง และผิวสวยใส<h3 style="text-align: center;">
<span style="color: blue;">ใบบัวบก ต้านมะเร็งลำไส้ บำรุงสมอง</span></h3>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhg4eTp2Gu5gCIRg64dywzXVGko-zUH5a0ldRaXjJRYxxrOLuO5644lFfNY9ufA0aNX0hjpmQRdzuf164uO7okhEtZL7_cb95rZXLSpvvnNyULuP3W399YHLF55ge0agaK_gkS9G4caSpE/s1600/%E0%B9%83%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%9A%E0%B8%81.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhg4eTp2Gu5gCIRg64dywzXVGko-zUH5a0ldRaXjJRYxxrOLuO5644lFfNY9ufA0aNX0hjpmQRdzuf164uO7okhEtZL7_cb95rZXLSpvvnNyULuP3W399YHLF55ge0agaK_gkS9G4caSpE/s320/%E0%B9%83%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%9A%E0%B8%81.jpg" width="320" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="color: blue;"><br /></span></div>
<br />
<br />
<br />
<span style="background-color: transparent; font-family: Tahoma; font-size: 11pt; font-weight: bold; line-height: 19px; vertical-align: baseline;">ชื่อสามัญ</span><span style="background-color: transparent; font-family: Tahoma; font-size: 11pt; line-height: 19px; vertical-align: baseline;"> : Asiatic Pennywort</span><br />
<span style="background-color: transparent; font-family: Tahoma; font-size: 11pt; font-weight: bold; line-height: 19px; vertical-align: baseline;">ชื่อวิทยาศาสตร์</span><span style="background-color: transparent; font-family: Tahoma; font-size: 11pt; line-height: 19px; vertical-align: baseline;"> : Centella asiatica (Linn.) Urban.</span><br />
<span style="background-color: transparent; font-family: Tahoma; font-size: 11pt; font-weight: bold; line-height: 19px; vertical-align: baseline;">วงศ์</span><span style="background-color: transparent; font-family: Tahoma; font-size: 11pt; line-height: 19px; vertical-align: baseline;"> : UMBELLIFERAE</span><br />
<span style="background-color: transparent; font-family: Tahoma; font-size: 11pt; line-height: 19px; vertical-align: baseline;"></span><br />
<span style="background-color: transparent; font-family: Tahoma; font-size: 11pt; font-weight: bold; line-height: 19px; vertical-align: baseline;">รสและสรรพคุณยาไทย</span><span style="background-color: transparent; font-family: Tahoma; font-size: 11pt; line-height: 19px; vertical-align: baseline;"></span><br />
<span style="background-color: transparent; font-family: Tahoma; font-size: 11pt; line-height: 19px; vertical-align: baseline;">กลิ่นหอม รสขมเล็กน้อย แก้อ่อนเพลีย เมื่อยล้า แก้ร้อนใน แก้โรคความดันโลหิตสูง</span><br />
<span style="background-color: transparent; font-family: Tahoma; font-size: 11pt; line-height: 19px; vertical-align: baseline;"></span><br />
<span style="background-color: transparent; font-family: Tahoma; font-size: 11pt; font-weight: bold; line-height: 19px; vertical-align: baseline;">ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์</span><span style="background-color: transparent; font-family: Tahoma; font-size: 11pt; line-height: 19px; vertical-align: baseline;"></span><br />
<span style="background-color: transparent; font-family: Tahoma; font-size: 11pt; line-height: 19px; vertical-align: baseline;">สารที่สำคัญที่ได้จากใบบัวบกคือ มีฤทธิ์ในการสมานแผล ทำให้แผลหายเร็ว มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ฆ่าเชื้อราและลดอาการอักเสบ</span>
<br />
<span style="background-color: transparent; font-family: Tahoma; font-size: 11pt; line-height: 19px; vertical-align: baseline;"><br /></span><br />
<span style="background-color: yellow; font-family: Tahoma; font-size: 11pt; line-height: 19px; vertical-align: baseline;"><span style="color: red;">ตอนนี้มีงานวิจัยของ มหาลัยเชียงใหม่ ที่มีความเป็นไปได้ว่า สวารสกัดจากใบบัวบก มีสารยับยังการเกิดมะเร็งลำไส้ ซึ่งตอนนี้แม่ผมเองก็ทานอยู่ครับ และก็ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวกันไหมตอนนี้มะเร็งของแม่ผมมันก็ไม่กระจายนะคับ
</span></span><br />
<span style="background-color: yellow; font-family: Tahoma; font-size: 11pt; line-height: 19px; vertical-align: baseline;"><span style="color: red;">แม่ผมกินโดยเอามาต้มแต่ทานแบบเข้มขนนะ ข้อความระวังคือ น้ำใบบัวบกจะทำให้ตับทำงานหนักนะคับ ความทานสลับกับน้ำตะใคร้ โดยต้มทานแทนน้ำ</span></span><br />
<span style="background-color: transparent; font-family: Tahoma; font-size: 11pt; line-height: 19px; vertical-align: baseline;"><br /></span><br />
<span style="background-color: transparent; font-size: 15px; line-height: 19px; vertical-align: baseline;"><span style="font-family: Tahoma;"></span></span><br />
<span style="font-family: Tahoma;">บัวบก (Gotu kola) เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็กที่ขึ้นบนดิน มีลักษณะใบคล้ายกับใบบัว เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย และแทบทุกคนรู้จักพืชชนิดนี้เป็นอย่างดี คนไทยบริโภคพืชชนิดนี้กันมาช้านานแล้ว พบว่าส่วนสำคัญที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ ส่วนของใบและราก บัวบกเป็นพืชที่พบมากในประเทศแถบยุโรป เรื่อยมาจนถึงแถบแอฟริกาใต้ อินเดีย ปากีสถาน และศรีลังกา โดยมีประวัติการใช้ประโยชน์ในทางยามานมนาน</span><br />
<span style="font-family: Tahoma;"><br /></span><br />
<span style="font-family: Tahoma;">ส่วนใหญ่เป็นที่รู้จักกันดีว่าน้ำใบบัวบกช่วยแก้ช้ำใน รสและสรรพคุณยาไทย จะมีกลิ่นหอม รสขมเล็กน้อย โบราณว่าแก้อ่อนเพลีย เมื่อยล้า แก้ร้อนใน แก้โรคความดันโลหิตสูง</span><br />
<span style="font-family: Tahoma;"><br /></span><br />
<span style="font-family: Tahoma;">บัวบกมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Centella asiatica (L.) Urban อยู่ในวงศ์ Umbelliferae เป็นไม้ล้มลุก ใบเดี่ยว เรียงสลับ ขอบใบหยัก แตกเป็นกระจุก ลำต้นทอดไปแตะดิน ก็จะแตกราก และใบเป็นต้นใหม่อีก ทำให้ขึ้นแผ่ติดต่อกันเป็นพืดไปเป็นบริเวณกว้างได้ ก้านใบยาว ดอกออกเป็นช่อคล้ายร่ม ก้านดอกแตกออกจากโคนใบ แต่ละช่อมีดอกย่อย 3-6 ดอก มีกลีบดอก 5 กลีบ สีม่วงแดงเข้ม พบตามที่ลุ่มชื้นแฉะทั่วไป ในสวนต่างๆ ตามท้องนา ตามริมน้ำ</span><br />
<span style="font-family: Tahoma;"><br /></span><br />
<span style="font-family: Tahoma;">สรรพคุณ</span><br />
<span style="font-family: Tahoma;">ช่วยให้ความจำดี ช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงหัวใจ แก้ช้ำใน ร้อนในกระหายน้ำ แก้ท้องเสีย ขับปัสสาวะ รักษาแผลเปื่อย แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ลดรอยเหี่ยวย่น ลดการอักเสบ และเป็นยาอายุวัฒนะ</span><br />
<span style="font-family: Tahoma;"><br /></span><br />
<span style="font-family: Tahoma;">สารสำคัญ</span><br />
<span style="font-family: Tahoma;"><br /></span><br />
<span style="font-family: Tahoma;">ในบัวบกประกอบด้วยสารสำคัญหลายชนิด ได้แก่ ไตรเตอพีนอยด์</span><br />
<span style="font-family: Tahoma;">(อะซิเอติโคซัยด์) บราโมซัยด์ บรามิโนซัยด์ มาดิแคสโซซัยด์ (ซึ่งเป็น</span><br />
<span style="font-family: Tahoma;">ไกลโคซัยด์ที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ) กรดมาดิแคสซิค ไธอะมิน (วิตามินบี 1) ไรโบฟลาวิน (วิตามินบี 2) ไพริดอกซิน (วิตามินบี 6) วิตามินเค แอสพาเรต กลูตาเมต ซีริน ทรีโอนีน อะลานีน ไลซีน ฮีสทีดิน แมกนีเซียม แคลเซียม โซเดียม</span><br />
<span style="font-family: Tahoma;">สารสำคัญที่ได้จากใบบัวบกมีฤทธิ์ในการสมานแผล ทำให้แผลหายเร็ว มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ฆ่าเชื้อราและลดอาการอักเสบ</span><br />
<br />
<span style="font-family: Tahoma;"><br /></span><br />
<span style="font-family: Tahoma;">สารไตรเตอพีนอยด์</span><br />
<span style="font-family: Tahoma;"><br /></span><br />
<span style="font-family: Tahoma;">ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเปรียบเสมือนร่างแหที่ประกอบกันเป็นโครงสร้างหลัก</span><br />
<span style="font-family: Tahoma;">ของเซลล์ในส่วนต่างๆ ของร่างกาย และยังเป็นผนังที่หุ้มล้อมรอบหลอดเลือดอีกด้วย</span><br />
<span style="font-family: Tahoma;">ใบบัวบกจึงสามารถลดความดันเลือดได้เนื่องจากจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่เส้นเลือด</span><br />
<span style="font-family: Tahoma;">ใบบัวบกมีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน ช่วยเพิ่มการไหลเวียนผ่านเส้นเลือดฝอย รวมทั้งการแลกเปลี่ยนออกซิเจน ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดการบวม เส้นประสาทเสื่อม เหน็บชา และแขนขา</span><br />
<span style="font-family: Tahoma;">อ่อนแรง</span><br />
<span style="font-family: Tahoma;">ทำให้ผิวหนังเต่งตึงและมีความยืดหยุ่นขึ้น ตลอดจนช่วยป้องกันการเกิดแผลเป็น และช่วยในขบวนการหายของแผล เนื่องจากใบบัวบกจะควบคุมไม่ให้เกิดการสร้างคอลลาเจนบริเวณแผลมากจนเกินไป</span><br />
<span style="font-family: Tahoma;">นิยมนำใบบัวบกไปใช้ในการรักษาแผลต่างๆ อาทิเช่น แผลผ่าตัด การปลูกถ่ายผิวหนัง แผลไฟไหม้</span><br />
<span style="font-family: Tahoma;">น้ำร้อนลวก แผลเรื้อรัง หรือแม้แต่แผลจากโรคเรื้อน</span><br />
<span style="font-family: Tahoma;">รักษาแผล</span><br />
<span style="font-family: Tahoma;"><br /></span><br />
<span style="font-family: Tahoma;"><span style="color: lime;">พบว่าสารไกลโคไซด์ที่ได้จากใบบัวบกยังส่งผลในการช่วงเร่งการสร้างสารคอลลาเจนที่เป็นโครงสร้างของผิวหนึง จึงถูกนำมาใช้ประโยชน์ในการกระตุ้นให้แผลสมานตัวได้เร็วขึ้น</span></span><br />
<span style="font-family: Tahoma;">การศึกษาในสัตว์ทดลอง พบว่าสารไตรเตอพีนอยด์ (triterpenoids) มีผลเสริมความแข็งแรงของผิวหนัง เพิ่มปริมาณของสารต้านอนุมูลอิสระในบาดแผล และช่วยเพิ่มปริมาณเลือดไหลเวียนไปยังบริเวณบาดแผล</span><br />
<span style="font-family: Tahoma;">ผลิตภัณฑ์ใบบัวบกชนิดทาผิวหนังมีหลายรูปแบบในท้องตลาด เหมาะสำหรับแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก โรคสะเก็ดเงิน ป้องกันแผลผ่าตัดเกิดแผลเป็น ป้องกันแผลฝีเย็บเกิดแผลเป็น และใช้รักษาแผลรูเปิดทวารหนักชนิดภายนอก</span><br />
<span style="font-family: Tahoma;">โรคผิวหนัง</span><br />
<span style="font-family: Tahoma;"><br /></span><br />
<span style="font-family: Tahoma;">จากการศึกษาผลการใช้ใบบัวบกเพื่อรักษาโรคเรื้อนและวัณโรคที่ผิวหนัง</span><br />
<span style="font-family: Tahoma;">พบว่าสารอะซิเอติโคไซในใบบัวบกสามารถทำลายสารเคลือบผิวที่หุ้มแบคทีเรีย (ปกติภูมิคุ้มกันไม่สามารถทำลายสารเคลือบผิวตัวนี้ได้)</span><br />
<span style="font-family: Tahoma;">ทำให้ภูมิคุ้มกันเข้าไปจัดการกับเชื้อแบคทีเรียได้โดยตรง</span><br />
<span style="font-family: Tahoma;">ใช้เป็นยาภายนอกรักษาแผลเปื่อย แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก โดยใช้ใบสด</span><br />
<span style="font-family: Tahoma;">1 กำมือ ล้างให้สะอาด ตำละเอียด คั้นเอาน้ำทาบริเวณแผลบ่อยๆ ใช้กากพอกด้วยก็ได้ แผลจะสนิท และเกิดแผลเป็นชนิดนูนน้อยลง</span><br />
<span style="font-family: Tahoma;">สารที่ออกฤทธิ์คือ กรดมาดิแคสซิค กรดอะเชียติก และสารอะเชียติโคซัยด์ ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยสมานแผล และเร่งการสร้างเนื้อเยื่อ สามารถระงับการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง และช่วยลดการอักเสบได้อีกด้วย</span><br />
<br />
<span style="font-family: Tahoma;"><br /></span><br />
<span style="font-family: Tahoma;">ลดรอยตีนกา</span><br />
<span style="font-family: Tahoma;"><br /></span><br />
<span style="font-family: Tahoma;">ใช้ใบบัวบกสดๆ ล้างให้สะอาด หั่นฝอยประมาณ 1/2 ถ้วย เติมน้ำต้มสุกนิดหน่อย นำไปปั่นให้เป็นน้ำข้นๆ กรองเอาแต่น้ำ</span><br />
<span style="font-family: Tahoma;">ใช้สำลีชุบทาทั่วใบหน้า หรือจะใช้สำลีแปะไว้ที่ผิวใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะช่วยบำรุงผิวหน้าให้เต่งตึงไร้ริ้วรอย เพราะใบบัวบกมีสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอิลาสตินให้ทำงานได้ดีขึ้น</span><br />
<br />
<span style="font-family: Tahoma;"><br /></span><br />
<span style="font-family: Tahoma;"> จากบทความด้านบนเพื่อนๆจะเห็นได้ว่าใบบัวบกนั้นมีประโยชน์มากมายสมกับเป็นพืชสมุนไพรของไทย ไม่ว่าช่วยในเรื่องการแพทย์อย่างการรักษาแผลหรือโรคผิวหนัง โดยเฉพาะการวิจัยใหม่ๆที่ค้นพบว่าสามารถช่วยลดรอยตีนกาบนใบหน้าซึ่งมีสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอิลาสตินให้ทำงานได้ดีขึ้น</span><br />
<span style="font-family: Tahoma;"><br /></span><br />
<span style="font-family: Tahoma;"> ในการใช้ใบบัวบกช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้กับผิวนั้น เพื่อนๆไม่ต้องยุ่งยากหาซื้อใบบัวบกแล้วมาเสียเวลาคั้นน้ำสดๆมาโปะผิวหน้าให้ยุ่งยากอีกต่อไป เพราะว่าทางร้านเรามีครีมบำรุงผิวที่สกัดจากสารสารไตรเตอพีนอยด์ ในใบบัวบก ซึ่งสามารถช่วยลดขั้นตอนยุ่งยากต่างๆได้ในตลับเดียว เรียกได้ว่าสวยง่ายๆๆม่ยุ่งยากได้ในขั้นตอนเดียวจริงๆค่ะ </span><br />
<span style="font-family: Tahoma;"><br /></span><br />
<br />
<span style="font-family: Tahoma;"><br /></span><br />
<span style="font-family: Tahoma;">ขอบคุณข้อมูลทางวิชาการเรื่องประโยชน์ของใบบัวบก จาก</span><br />
<span style="font-family: Tahoma;"><br /></span><br />
<span style="font-family: Tahoma;">ที่มา : นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ</span><br />
<span style="font-family: Tahoma;">ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ </span><br />
<span style="font-family: Tahoma;">http://www.bangkokhealth.com</span><br />
<span style="font-family: Tahoma;"><br /></span><br />
<span style="font-family: Tahoma;"><br /></span><br />
<span style="font-family: Tahoma;"><br /></span>http://food-plants.blogspot.com/http://www.blogger.com/profile/04223739952562743625noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6514530156973123374.post-40890455694843071062012-07-06T15:10:00.000+07:002012-11-23T09:23:45.425+07:00ลูกใต้ใบ : รักษาเบาหวาน บำรุงตับอ่อน ไต และแก้นิ่ว<div style="text-align: center;">
<strong><span style="color: #0b5394;">สรรพคุณ ลูกใต้ใบ : ยาแก้ไข้ บำรุงตับ ไต และแก้นิ่ว</span></strong></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiaO1ODym-Fau8iwwLCLNeKCCXnLjK7ZV8-nvJsQgIulVT8EMGM9Hn4L4thtdI1WFYec6JDgteLUVdqhK7GuVzoRIcfBJwrUzmB7ZwksrT8MVmnBCf2RDIyE3lU_QUCodB4tqs3M4UGUdI/s1600/%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B9%83%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B9%83%E0%B8%9A.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiaO1ODym-Fau8iwwLCLNeKCCXnLjK7ZV8-nvJsQgIulVT8EMGM9Hn4L4thtdI1WFYec6JDgteLUVdqhK7GuVzoRIcfBJwrUzmB7ZwksrT8MVmnBCf2RDIyE3lU_QUCodB4tqs3M4UGUdI/s1600/%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B9%83%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B9%83%E0%B8%9A.jpg" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<br />
ลูกใต้ใบ เป็นสมุนไพรที่คนส่วนใหญ่รู้จักดี เพราะขึ้นในทุกพื้นที่ทุกภาคของประเทศไทย ซึ่งในสายตาของหมอยาแล้วลูกใต้ใบเป็นสมุนไพรที่พื้นๆ มาก เวลาเดินเก็บยาด้วยกันแล้ว พ่อหมอมักจะเดินผ่านเลยเพราะคิดว่าเรารู้แล้วเสมอ แต่เมื่อหยิบขึ้นมาถาม หมอยาทุกภาคทุกถิ่นจะใช้ลูกใต้ใบเหมือนๆ กัน คือ ส่วนใหญ่ใช้เป็นยาแก้นิ่ว แก้โรคตับ แก้ปวดเมื่อย แก้เบาหวาน ส่วนแม่ๆ ชาวบ้านธรรมดา และไกด์หนุ่มที่เมืองเสียมราฐ ในประเทศกัมพูชา ไกด์หนุ่มที่ย่างกุ้ง ในประเทศพม่า เมื่อชี้ไปที่ลูกใต้ใบ ทุกคนรู้กันดีว่าสมุนไพรชนิดนี้มีไว้ต้มกิน <em>แก้ไข้</em> <br />
ลูกใต้ใบเป็นสมุนไพรที่แพร่กระจายอยู่ในหลายๆ ประเทศ ทั้งในบราซิล เปรู หมู่เกาะคาริบเบียน สหรัฐอเมริกา อินเดีย ไทย ลาว พม่า เขมร แต่ละพื้นถิ่นที่มีลูกใต้ใบจะใช้ประโยชน์ทางยาจากสมุนไพรชนิดนี้เหมือนๆ กัน <br />
<br />
<strong><u><span style="color: magenta;">ลูกใต้ใบ สรรพคุณ สมุนไพรของผู้ป่วยเบาหวาน</span></u></strong><br />
<u><span style="color: magenta;">ลูกใต้ใบ เป็นสมุนไพรยอดนิยมของผู้ป่วยเบาหวาน หมอยาและชาวบ้านในหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย เชื่อว่าลูกใต้ใบเป็นสมุนไพรช่วยคุมระดับน้ำตาลในคนเป็นโรคเบาหวานได้ ซึ่งมีการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาพบว่าสารสกัดของลูกใต้ใบมีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดได้</span></u> <br />
<span style="color: magenta;">(เสริมเอง) หลักการคือ เบาหวานแบ่งออกเป็น 2 แบบ </span><span style="color: magenta;">โรคเบาหวานเกิดจาก น้ำตาลในเลือดสูง</span><br />
<span style="color: magenta;">1 เป็นแต่กำเนิดหรือมาจากกรรมพันธ์ วิธีนี้รักษาให้หายขาดยาก เพราะเกิดจากกาทำงานที่ผิดปกติตั้งแต่แรก</span><br />
<span style="color: magenta;">2 เป็นเนี่องจากตับอ่อนไม่ผลิต อินซูลิน (เป็นตัวที่คอยความคุมระดับน้ำตาลในเลือด) ผู้ป่วยเบาหวาน หมอจะให้ทานยาตัวนี้ไปด้วยและบางรายก็จะให้ฉีดที่ต้นแขนด้วย สำหรับกรณีนี้ จะเป็นกันมาเมื่ออายุ 40 ขึ้นไป</span><br />
<br />
<span style="color: magenta;"> การรักษาโดยใช้ต้นลูกใต้ใบก็คือ สมุนไพรจะไปบำรุงตับอ่อน ให้ผลิต อินซูลินขึ้นมาให้ และมันก็จะความคุมระดับน้ำตาลให้เราเอง ผลพลอยได้ก็คือ ตับและไตก็จะทำงานดีขึ้น แต่ก็มีข้อห้ามนะครับ ดูด้านล่างของบทความ</span><br />
<br />
<span style="background-color: white; color: magenta;"><u>ข้อแนะนำ...สำหรับการใช้ในผู้ป่วยเบาหวาน หากจะใช้สมุนไพรต้องรับประทานยาแผนปัจจุบันตามคำสั่งแพทย์และมีการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งมีรายงานที่แสดงให้เห็นว่าลูกใต้ใบช่วยเสริมฤทธิ์ของยาเบาหวาน</u></span> <br />
<br />
<span style="background-color: yellow; color: black;">การต้มกินไม่ยากครับ เอาใบมาล้างให้สะอาด ใส่มากก็ขมมาก แนะนำให้เอาแค่ 3 ต้นแก่ๆ ต่อน้ำ 2 ลิตรครับ ใส่ใบเตยและน้ำผึ้งไปด้วยจะกินง่ายครับ ตั้งไฟต้มสัก 20 นาที น้ำจะเหม็นๆหน่อยนะครับและขมมากด้วยแต่ใบเตยก็ช่วยได้เยอะ ถ้ากลัวขมก็ใส่ต้นลูกใต้ใบน้อยๆครับ ทานเป็นน้ำชาก็ได้ สัก 2 สัปดาห์ ทานแล้วไปตวรจระดับน้ำตาลดูครับว่าลดหรือไม่</span><br />
<br />
<strong>ลูกใต้ใบ…สมุนไพรแก้ไข้ แก้อักเสบ แก้ปวดเมื่อย</strong><br />
ลูกใต้ใบเป็นสมุนไพรที่พระธุดงค์ตากแห้งพกติดกาย ชงเป็นชายามเดินธุดงค์เพื่อใช้แก้ไข้ที่เกิดจากสาเหตุต่างๆ อาทิ ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ไข้จากการเปลี่ยนแปลงของอากาศ ไข้จากอ่อนเพลีย ไข้จับสั่น รวมทั้งแก้ท้องเสียได้ดีนัก ชาวบ้านในหลายพื้นที่นิยมตากลูกใต้ใบให้แห้งเก็บใส่โหลไว้ชงเป็นชากินเพื่อแก้ไข้ แก้ปวดข้อ แก้อักเสบ แก้ปวด มีรายงานการวิจัยพบว่าลูกใต้ใบมีฤทธิ์ในการแก้ไข้ แก้อักเสบได้ สอดคล้องกับการใช้ตามภูมิปัญญาชาวบ้าน<br />
<br />
<strong>ลูกใต้ใบ…สมุนไพรบำรุงตับ ลดอาการตับอักเสบ สร้างความสมดุลของไขมันในตับ</strong><br />
หมอยาคนจีนเชื่อว่าถ้ากินลูกใต้ใบติดต่อกันหนึ่งสัปดาห์จะช่วยกำจัดพิษออกจากตับ มีผลทำให้สายตาดี บำรุงตับ รักษาอาการดีซ่าน ซึ่งก็คล้ายๆ กับหมอยาพื้นบ้านไทยและหมออายุรเวทอินเดียที่มีความเชื่อว่า ลูกใต้ใบเกิดมาเพื่อตับ ใช้ต้มกินเป็นยาแก้ดีซ่าน แก้ตับอักเสบตัวเหลือง ตาเหลือง ซึ่งมีรายงานการศึกษาวิจัยพบว่า สารสกัดจากลูกใต้ใบมีฤทธิ์ป้องกันไม่ให้ตับถูกทำลายจากสารพิษ เช่น เหล้า รักษาอาการอักเสบของตับทั้งประเภทเฉียบพลันและเรื้อรัง ลูกใต้ใบยังช่วยปรับไขมันในตับให้เป็นปกติ <br />
ลูกใต้ใบยังเหมาะที่จะใช้ทำเป็นชาสมุนไพรให้กับคนไข้ที่เป็นมะเร็งตับ เพราะมีรายงานการศึกษาวิจัยพบว่า น้ำต้มของลูกใต้ใบทำให้หนูที่เป็นมะเร็งตับมีอายุยืนยาวขึ้น ด้วยกลไกที่ทำให้เซลล์มะเร็งเติบโตช้าลงแต่ไม่ได้ฆ่าเซลล์มะเร็งโดยตรง<br />
<br />
<strong>ลูกใต้ใบ…สมุนไพร ขับปัสสาวะ ขับนิ่ว </strong><br />
หมอยาทั่วทุกภาคจะใช้ลูกใต้ใบในการเป็นยาขับนิ่ว มีรายงานการศึกษาสมัยใหม่ว่าลูกใต้ใบมีสรรพคุณเป็นยาขับปัสสาวะ ซึ่งมีประโยชน์ในการขับนิ่ว และลดความดัน ฤทธิ์ในการขับนิ่วนั้น มิใช่หมอยาพื้นบ้านไทยเท่านั้นที่รู้จักใช้ ในสเปน เรียกลูกใต้ใบว่า <em>Chanca piedra</em> มีความหมายว่า นักทุบหิน หรือทำให้หินเป็นชิ้นเล็กๆ (Stone breaker or Shatter stone) ในบราซิลเรียกลูกใต้ใบว่า Quebra-pedra หรือ Arranca-pedras ซึ่งมีความหมายในทำนองเดียวกัน หมอยาพื้นบ้านในแถบลุ่มน้ำอเมซอนนิยมใช้ลูกใต้ใบ ต้มกินในการรักษานิ่วทั้งนิ่วในถุงน้ำดีและนิ่วในไต มีรายงานการศึกษาพบว่าลูกใต้ใบมีฤทธิ์ทั้งป้องกันและกำจัดนิ่ว<br />
ลูกใต้ใบ เป็นสมุนไพรที่จัดว่ามีการใช้กับระบบทางเดินปัสสาวะมากที่สุดชนิดหนึ่ง โดยมีการนำไปใช้รักษาอาการมีไข่ขาวในปัสสาวะ อาการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ทางเดินปัสสาวะอักเสบ ใช้ในการขับปัสสาวะ ลดอาการบวม และขับกรดยูริคออกทางปัสสาวะ ซึ่งช่วยในคนเป็นโรคเก๊าท์<br />
<br />
<span style="color: maroon; font-weight: bold;"><span style="color: black;">ลูกใต้ใบ…สมุนไพร </span><span style="color: black;">ขับประจำเดือน</span></span> สำหรับคุณผู้หญิงที่มีประจำเดือนมาไม่ปกติ ลูกใต้ใบ ยังเป็นยาชั้นดีในการช่วยขับประจำเดือนได้อีกด้วย โดยนำต้นลูกใต้ใบมาต้มกิน <span style="font-weight: bold;">แต่หากประจำเดือนมามากกว่าปกติ</span> ให้นำรากสดของลูกใต้ใบมาตำผสมกับน้ำซาวข้าวกินจะช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ ส่วนผู้ที่เป็นไข้ทับระดู ก็นำลูกใต้ใบทั้ง 5 มาล้างน้ำสะอาด นำมาตำผสมเหล้าขาว คั้นเฉพาะน้ำยามาดื่นครั้งละ 1 ถ้วยชา<br />
<br />
<span style="color: maroon; font-weight: bold;"><span style="color: black;">ลูกใต้ใบ…สมุนไพร </span></span> <span style="color: maroon; font-weight: bold;"><span style="color: black;">แก้อาการนมหลง</span></span> สำหรับหญิงที่คลอดบุตรแล้วน้ำนมเกิดหยุดไหล หลังจากเคยไหลมาแล้ว จะเกิดอาการปวดเต้านม ซึ่งเรียกว่า อาการนมหลง ถ้าปล่อยไว้อาจกลายเป็นฝีที่นมได้ ให้นำลูกใต้ใบทั้ง 5 จำนวน 1 กำมือมาตำผสมเหล้าขาว คั้นเอาน้ำ ดื่ม 1 ถ้วยชา แล้วเอากากพอก ก็จะช่วยให้น้ำนมไหลออกมาได้<br />
<br />
<span style="color: maroon; font-weight: bold;"><span style="color: black;">ลูกใต้ใบ…สมุนไพร </span></span><span style="color: maroon; font-weight: bold;"><span style="color: black;">รักษาแผล</span></span> ในอินเดียนิยมนำลูกใต้ใบมาตำพอก หรือตำแล้วคั้นเอาน้ำมาทารักษาแผลสด แผลฟกช้ำ แต่หากเป็นแผลเรื้อรังจะใช้ใบตำผสมน้ำซาวข้าวมาพอกได้<br />
<br />
<span style="color: maroon; font-weight: bold;"><span style="color: black;">ลูกใต้ใบ…สมุนไพร </span></span> <span style="color: maroon; font-weight: bold;"><span style="color: black;">แก้คัน</span></span> ตำใบของลูกใต้ใบผสมกับเกลือ แล้วนำมาทาจะช่วยแก้คันได้<br />
<br />
<span style="color: maroon; font-weight: bold;"><span style="color: black;">ลูกใต้ใบ…สมุนไพร </span></span> <span style="color: maroon; font-weight: bold;"><span style="color: black;">แก้เริม</span></span> ใช้ลูกใต้ใบทั้งห้า ตำผสมกับเหล้าแล้วคั้นเอาน้ำยา จากนั้นใช้สำลีชุบน้ำยามาแปะตรงที่เป็นเริม เพื่อให้รู้สึกเย็น แล้วจะหายปวด<br />
<br />
<span style="color: maroon; font-weight: bold;"><span style="color: black;">ลูกใต้ใบ…สมุนไพร </span></span><span style="color: maroon; font-weight: bold;"><span style="color: black;">แก้ฟกช้ำ แก้ฝี</span></span> ใช้ต้นสด ๆ ตำผสมกับเหล้า แล้วนำมาพอกแก้ฟกช้ำ ปวดบวมได้<br />
<br />
<strong>ข้อควรระวัง</strong><br />
ห้ามใช้ในคนท้อง เพราะลูกใต้ใบเป็นยาขับประจำเดือน<br />
<br />
<em><strong>ลูกใต้ใบ</strong> เป็นสมุนไพรที่น่าเสียดายว่าหาง่าย ใช้ง่าย เพียงแค่ต้มกินก็ใช้ได้แล้ว ใช้กันมานานทั่วทั้งโลกจนกลายเป็นธุรกิจการลงทุน ในด้านการวิจัยนั้นมักจะลงทุนเพื่อประโยชน์ทางการค้า เป็นความลับทางธุรกิจมากกว่าจะลงทุนวิจัยเพื่อประชาชน เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวาง และในความนึกคิดของคนทั่วไป สมุนไพรมักจะเป็นอะไรที่ต้องออกจากห้องทดลอง อยู่ในรูปแบบของผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปสวยงาม ทั้งที่จริงๆ แล้วสมุนไพรเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว ทำเองได้ พึ่งตนเองได้ </em><br />
<br />
ขอบคุณข้อมูลจาก <a href="http://thrai.sci.ku.ac.th/">http://thrai.sci.ku.ac.th</a><br />
<br />
<br />
<h3>
<span style="color: red;"><span style="background-color: yellow;"><span class="style138">ด้านงานวิจัย </span>รายงานการวิจัยฤทธิ์ของสมุนไพรใต้ใบทั้งหลาย Phyllanthus amarus พอจะสรุปได้ดังต่อไปนี้</span></span></h3>
<br />
1. ฤทธิ์ต้านไวรัสตับอักเสบ มีรายงานการศึกษาวิจัยฤทธิ์ต้านไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B virus, HBV) ของสารสกัดของ P. amarus ในห้องปฏิบัติการ และมีการศึกษาวิจัยต่อเนื่องถึงกลไกการออกฤทธิ์ ซึ่งพบว่ามีได้หลายกลไกการออกฤทธิ์ เช่น การยับยั้ง HBV DNA polymerase, ยับยั้ง HBV mRNA transcription & replication เป็นต้น และมีรายงานการวิจัยในคนหลายรายงาน ซึ่ง The Cochrane Hepato-Biliary Group ได้สรุปผลงานวิจัยที่เป็น randomized controlled trial (RCT) ของพืชสกุล Phyllanthus ในโรคตับอักเสบเรื้อรังไว้ มีเพียง 5 รายงานที่มีคุณภาพดี สรุปได้ว่าPhyllanthus sp. ให้ผลบวกต่อการ clearance ของ serum HbsAg <br />
เมื่อเทียบกับ placebo หรือเมื่อไม่ให้การรักษาไม่มีความแตกต่างในการ clearance ของ serum HBsAg, HBeAg, HBV DNA ระหว่าง Phyllanthus sp. กับ interferon <br />
(IFN) Phyllanthus sp. ให้ผลดีกว่า non-specific treatment หรือยาจากสมุนไพรอื่นๆ ในการ clearance ของ serum HBsAg, HBeAg, HBV DNA และการกลับมาเป็นปกติของค่า liver enzymesการใช้ Phyllanthus sp. ร่วมกับ IFN จะให้ผลดีกว่า IFN อย่างเดียวในการ clearance ของ serum HbeAg และ HBV DNAไม่พบ serious adverse event สรุปได้ว่า Phyllanthus sp. อาจมี positive effect ด้าน antiviral activity และต่อ liver biochemistryในโรคตับอักเสบบีแบบเรื้อรัง อย่างไรก็ตาม หลักฐานที่มียังไม่หนักแน่นพอเนื่องจากคุณภาพของวิธีวิจัยและความแตกต่างของสมุนไพรที่นำมาวิจัย จึงควรมีงานวิจัยในขนาดใหญ่ต่อไปใน<br />
อนาคต<br />
<span style="color: red;">2. ฤทธิ์ยับยั้งเชื้อเอชไอวี สารสกัดด้วยน้ำและสารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ของ P. amarus มีฤทธิ์แรงในการยับยั้ง HIV-1 replication โดยสารออกฤทธิ์อยู่ในกลุ่ม <br />gallotannins โดยสาร geraniin และ corilagin มีฤทธิ์แรงที่สุด นอกจากนี้ สารสกัดทั้งสองและสาร geraniin ยังสามารถยับยั้ง virus uptake ได้ 70-75% รวมทั้ง<br />ยับยั้ง HIV-1 reverse transcriptase ด้วย</span><br />
3. ฤทธิ์ต้านไวรัสหัวเหลือง (Yellow head virus, YHV) ในกุ้งกุลาดำ นักวิจัยของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ร่วมมือกับสถาบันวิจัยการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง จังหวัดสงขลา ทำการวิจัยฤทธิ์ของสารสกัดสมุนไพรลูกใต้ใบชนิด P. urinaria ที่ผสมในอาหารในการป้องกันการติดเชื้อ YHV ในกุ้งกุลาดำ โดยเอากุ้งมาฉีดเชื้อ YHV พบว่ากุ้งที่ได้รับอาหารที่ผสมสารสกัดสมุนไพรมีอัตราการรอดตายสูง และสามารถฟื้นเป็นปกติได้ เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมที่ไม่พบอัตราการรอดเลย<br />
4. ฤทธิ์ต้านอักเสบ สารสกัดของ P. amarus มีฤทธิ์ต้านอักเสบโดยการยับยั้ง endotoxin-induced nitric oxide synthase (iNOS), cyclooxygenase (COX-2) และ tumor necrosis factor-alpha (TNF-) และสารสกัดด้วยน้ำและสารสกัดด้วยเมธานอลมีฤทธิ์ต้านอักเสบโดยลดการบวมของอุ้งเท้าหนูได้<br />
5. ฤทธิ์ antioxidant และต้านอนุมูลอิสระ สารสกัดด้วยเมธานอลของ P. amarus มีฤทธิ์ antioxidant สามารถยับยั้ง lipid peroxidation และต้านอนุมูลอิสระได้เมื่อศึกษาในหลอดทดลอง<br />
6. ฤทธิ์ลดการเจ็บปวดและอาการบวม สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ผสมกับน้ำ (hydroalcoholic extract) มีฤทธิ์ต้านอาการเจ็บปวดจากการได้รับสารต่างๆ เช่น <br />
acetic acid, formalin หรือ capsiacin และสารสกัดด้วยเฮกเซนสามารถต้านอาการบวมและอาการเจ็บปวดในหนูที่ได้รับ Complete Freund’s adjuvant <br />
ฉีดเข้าอุ้งเท้าได้<br />
7. ฤทธิ์ต้านการเกิดแผลของกระเพาะอาหาร สารสกัดด้วยเมธานอลของ P. amarus สามารถลดอัตราตาย พื้นที่ที่เกิดแผลในกระเพาะอาหาร <br />
และอาการเลือดออก เนื่องจากได้รับเอธานอลได้<br />
8. ฤทธิ์ต้านอาการท้องเสีย สารสกัดด้วยน้ำของ P. amarus สามารถลดการเคลื่อนตัวของอาหารในลำไส้หนูถีบจักร ชะลอการเกิดท้องเสีย และจำนวนครั้งที่ถ่ายหลังจากได้รับน้ำมันละหุ่ง<br />
9. <span style="color: red;">ฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด สารสกัดด้วยเมธานอลของ P. amarus มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดในหนูที่ถูกทำให้เป็นเบาหวานด้วยการฉีดสาร alloxan</span><br />
10. ฤทธิ์ต้านการก่อกลายพันธุ์ สารสกัดด้วยเมธานอลของ P. amarus มีฤทธิ์ต้านการก่อกลายพันธุ์ของสาร 2-acetaminofluorene (2-AFF),aflatoxin B1,<br />
sodium azide,N-methyl-N-nitro-N-nitrosoguanidineและ4-nitro-O-phenylenediamine เมื่อศึกษาด้วยAmes test<br />
11. <span style="color: red;">ฤทธิ์ต้านเนื้องอกและต้านมะเร็ง สารสกัดด้วยน้ำของ P. amarus สามารถต้านการเกิดมะเร็ง sarcoma ในหนูที่ได้รับสารก่อมะเร็ง 20-methylcholanthrene และยืดอายุของหนูที่ได้รับการปลูกถ่ายเซลล์มะเร็ง Dalton’s lymphoma ascites และ Ehrlich Ascites carcinoma และทำให้ก้อนเนื้องอกมีขนาดเล็กลง</span><br />
12. ฤทธิ์คุมกำเนิด เมื่อป้อนสารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ของ P. amarus ทั้งต้นแก่หนูถีบจักรเพศเมีย ในขนาด 100 มก./กก. 30 วัน พบว่ามีผลต่อระดับเอนไซม์ <br />
3 beta & 17 beta hydroxy steroid dehydrogenase ทำให้หนูไม่ตั้งท้องเมื่อเลี้ยงรวมกับหนูเพศผู้<br />
ที่มา : กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์<br />
<h3>
<br /><span class="style138"><span style="background-color: yellow; color: red;">การทดลองใช้ยาสมุนไพรรักษาไวรัสตับอักเสบ</span></span></h3>
<span style="font-size: large;"><span style="font-family: CordiaUPC;"><span class="style138"></span></span></span>พืชสมุนไพรหลายชนิดมีฤทธิ์ยับยั้งการสังเคราะห์ดีเอ็นเอของไวรัสชนิดนี้ และสารสกัดของลูกใต้ใบหรือมะขามป้อมดิน <span style="color: red;">แพทย์ชาวอเมริกันและอินเดียได้ร่วมกันทำการทดลองพบว่า ยาสมุนไพรที่ใช้สืบต่อกันมามากกว่า 2,000 ปี สามารถรักษาโรคไวรัสตับอักเสบชนิด บี ได้ผลดี</span><br />
<span style="color: red;">การทดลองนี้เป็นความร่วมมือระหว่างคณะแพทย์จากสถาบันวิจัยมะเร็งแห่งฟิลาเดลเฟีย สหรัฐอเมริกา และคณะแพทย์อินเดียแห่งเมืองมีคราสได้ศึกษาวิจัยพืชสมุนไพรชนิดต่างๆ ที่มีการใช้รักษาอาการดีซ่านมาตั้งแต่โบราณ โดยได้นำพืชสมุนไพรกว่า 1,000 ชนิดที่ใช้กันทั่วโลกมาทดสอบความสามารถในการยับยั้งปฏิกิริยาของเอนไซม์ที่ใช้ในการสังเคราะห์สารดีเอ็นเอ ซึ่งจำเป็นในการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ในร่างกายของผู้ป่วย</span><br />
<span style="color: red;">จากการทดลองพบว่า พืชสมุนไพรหลายชนิดมีฤทธิ์ยับยั้งการสังเคราะห์ดีเอ็นเอของไวรัสชนิดนี้ และสารสกัดของมะขามป้อมดิน (บางแห่งเรียก ลูกใต้ใบ </span><br />
<span style="color: red;">หญ้าใต้ใบขาว) มีฤทธิ์สูงสุด การทดลองทางคลินิกในมีคราสทำโดยให้แคปซูลยาสมุนไพร 200 มิลลิกรัมน้ำหนักแห้งแก่ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ บี 37 คน </span><br />
<span style="color: red;">วันละครั้ง 30 วันติดต่อกันพร้อมกับให้ยาหลอกซึ่งภายในแคปซูลบรรจุน้ำตาลแล็กโทสแทน 23 คน หลังจากนั้นเจาะเลือดผู้ป่วยมาตรวจหาเชื้อไวรัส พบว่า</span><br />
<span style="color: red;">ผู้ป่วย 22 คน (ร้อยละ 59) ไม่มีเชื้อไวรัสในกระแสเลือด ในขณะที่ผู้ป่วยที่ได้รับยาหลอกเพียง 1 คนที่ไม่พบเชื้อไวรัสในกระแสเลือด และภายหลังการติดตามผลการรักษาต่อไปอีก 9 เดือน พบว่า ผู้ป่วยทั้ง 22 คน ยังคงตรวจไม่พบเชื้อไวรัสในกระแสเลือดต่อไป</span><br />
<span style="color: red;">แพทย์พบว่า ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาแต่ไม่ได้ผลยังพบเชื้อไวรัสอยู่นั้น เนื่องจากผู้ป่วยกลุ่มนั้นเพิ่งได้รับเชื้อไวรัสใหม่ๆ จึงยังคงมีเชื้อไวรัสจำนวนมากมายในระยะเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว จึงควรจะให้ยาในขนาดที่สูงขึ้นอีก การใช้มะขามป้อมดินในการรักษาอาการดีซ่านนี้ ได้กล่าวไว้ครั้งแรกในตำราอายุรเวทอินเดียมานานกว่า 2,000 ปีแล้ว</span> และสารสกัดจากพืชนี้ได้มีการใช้รักษาอาการดีซ่านในประเทศจีน ฟิลิปปินส์ คิวบา <br />
ไนจีเรีย กวม แอฟริกาตะวันออกและตะวันตก อเมริกาใต้และอเมริกากลาง และพืชในตระกูลนี้กว่า 900 ชนิด พบขึ้นอยู่ทั่วไปในเขตร้อน<br />
(จาก Herbal drug succeed in hepatitis trials. Far East Health 2531;11:8)<br />
ร.ศ.จันทร์เพ็ญ วิวัฒน์<br />
<br />
<h3>
<span style="background-color: yellow; color: red;">หลักฐานความเป็นพิษและการทดสอบความเป็นพิษของลูกใต้ใบ</span></h3>
<span class="style140">1. การทดสอบความเป็นพิษ <br />สารสกัดพืชทั้งต้นด้วยเอทานอล (50%) เมื่อให้หนูกินหรือฉีดเข้าใต้ผิวหนังในขนาด 10 ก./กก. ไม่พบพิษ (1) เมื่อให้เด็กรับประทานพืชทั้งต้น (ไม่ระบุขนาดที่รับประทาน) (2) ผู้ใหญ่รับประทานพืชส่วนที่อยู่เหนือดิน ขนาด 1.5 กรัม (3) และรับประทานพืชทั้งต้นในขนาด 2.7 ก./วัน ไม่พบพิษ (4) เมื่อให้หนูที่กินสารสกัดจากพืชที่อยู่เหนือดิน (ไม่ระบุชนิดของสารสกัด) ขนาด 0.2 มก./วัน เป็นเวลา 90 วัน ไม่พบพิษ (5) และเมื่อฉีดสารสกัดน้ำจากทั้งต้นเข้าช่องท้องหนูถีบจักรขนาด 0.1 มก. (6) หรือ 1.8 มก. (7) ไม่พบพิษ<br />สารสกัดที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อด้วยน้ำ เมื่อฉีดเข้าทางช่องท้องของลูกเป็ดขนาด 50 มก./กก. ไม่พบพิษ (8) ขณะที่สารสกัดที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อด้วยเอทานอล (50%) เมื่อให้หนูถีบจักรกิน พบว่าขนาดสูงสุดก่อนเกิดอาการพิษ คือ 1 ก./กก. (9) สารสกัดด้วยไดคลอโรมีเทน เอทานอล และสารสกัดด้วยน้ำขนาด 500 มก./กก.(10) และสารสกัดด้วยเอทานอล (95%) ขนาด 100 มก./กก. เมื่อให้เข้าทางกระเพาะหนูถีบจักรเพศเมีย เป็นเวลา 30 วัน (11) ไม่พบพิษ <br />2. ผลต่ออสุจิ <br />ให้สารสกัดด้วยอัลกอฮอล์กับหนูถีบจักรเพศผู้ในขนาด 500 มก./กก. มีผลลดจำนวนอสุจิ ยับยั้งการเคลื่อนที่ของอสุจิและมีผลทำให้อสุจิตาย (12)<br />จากการตรวจสอบหลักฐานทางวิทยาศาสตร์จะเห็นว่ายังไม่มีผู้ศึกษาด้านนี้เลย การใช้ในตำรายาไทยส่วนใหญ่ใช้ในรูปตำรับยา หากจะมีการใช้ควรมีการศึกษาทั้งเภสัชวิทยา สารออกฤทธิ์ และการทดลองทางคลินิก<br /><br />ที่มา : สำนักงานข้อมูลสมุนไพร<br />เอกสารอ้างอิง<br />1. Mokkhasmit M, Swatdimongkol K, Satrawaha P. Study on toxicity of Thai medicinal plants. Bull Dept Med Sci 1971;12(2/4):36-65.<br />2. Thabrew MR, Hughes RD. Phytogenic agents in the therapy of liver disease. Phytother Res 1996;10(6):461-7.<br />3. Thamlikitkul V, Wasuwat S, Kanchanapee P. Efficacy of Phyllanthus amarus for eradication of hepatitis B virus in chronic carriers. J Med Ass Thailand 1991;74(9):381-5.<br />4. Narendranathan M, Remla A, Mini PC, Satheesh P. A trial of Phyllanthus amarus in acute viral hepatitis. Trop Gastroenterol 1999;20(4):164-6.<br />5. Jayaram S, Thyagarajan SP, Panchanadam M, Subramanian S. Anti-hepatitis-B virus properties of Phyllanthus niruri Linn. and Eclipta alba Hassk: in vitro and in vivo safety studies. Bio-Medicine 1987;7(2):9-16.<br />6. Venkateswaran PS, Millman I, Blumberg BS. Effects of an extract from Phyllanthus niruri on hepatitis B and wood chuck hepatitis viruses: in vitro and in vivo. Proc Nat Acad Sci (USA) 1987;84(1):274-8. <br />7. Venkateswaran PS, Millman I, Blumberg BS. Composition, pharmaceutical preparation and method for treating viral hepatitis. Patent: US 4,673,575, 1987:10pp.<br />8. Munshi A, Mehrotra R, Panda SK. Evaluation of Phyllanthus amarus and Phyllanthus maderaspatensis as agents for postexposure prophylaxis in neonatal duck hepatitis B virus infection. J Med Virol 1993;40(1):53-8.<br />9. Dhar ML, Dhar MM, Dhawan BN, Mehrotra BN, Ray C. Screening of Indian plants for biological activity: part I. Indain J Exp Biol 1968:6:232-47.<br />10. Mesia LTK, Ngimbi NP, Chrimwami B, et al. In-vitro antimalarial acitivity of Cassia occidentalis, Morinda Morindodies and Phyllanthus niruri. Ann Trop Med Parasitol 2001;95(1):47-57.<br />11. Rao MV, Alice KM. Contraceptive effects of Phyllanthus amarus in female mice. Phytother Res 2001;15(3):265-7.<br />12. Rao MV, Shah KD, Rajani M. Contraceptive effects of Phyllanthus amarus extract in the male mouse (Mus musculus). Phytother Res 1997;11(8):594-6.</span>http://food-plants.blogspot.com/http://www.blogger.com/profile/04223739952562743625noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6514530156973123374.post-48135598606021323012012-07-06T09:26:00.002+07:002012-07-07T09:08:47.784+07:00รางจืด ถอนพิษ สารเคมี<h3 style="text-align: center;">
<span style="color: blue;"></span></h3>
<h3 style="text-align: center;">
<span style="color: blue;">ชื่อวิทยาศาสตร์ : Thumbergia laurifolia Lindl.</span></h3>
วงศ์ : Acanthaceae<br />
<br />
ชื่ออื่น : กำลังช้างเผือก ขอบชะนาง เครือเขาเขียว ยาเขียว (ภาคกลาง) คาย รางเย็น (ยะลา) จอลอดิเออ ซั้งกะ ปั้งกะล่ะ พอหน่อเตอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ดุเหว่า (ปัตตานี) ทิดพุด (นครศรีธรรมราช) น้ำนอง (สระบุรี) ย่ำแย้ แอดแอ (เพชรบูรณ์)<br />
<br />
<span style="color: #38761d;">สรรพคุณ :</span> รางจืดที่มีประสิทธิภาพ คือรางจืดชนิดเถาดอกม่วง<br />
รากและเถา - รับประทานแก้ร้อนใน กระหายน้ำ<br />
ใบและราก - <span style="color: red;">ใช้ปรุงเป็นยาถอนพิษไข้</span> เป็นยาพอกบาดแผล น้ำร้อนลวก ไฟไหม้ <u><span style="color: red;">ทำลายพิษยาฆ่าแมลง</span></u> พิษจากสตริกนินให้เป็นกลาง<u><span style="color: red;"> พิษจากดื่มเหล้ามากเกินไป</span></u> หรือยาเบื่อชนิดต่างๆ เข้าสู่ร่างกายโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม เช่น ติดอยู่ในฝักผลไม้ที่รับประทาน เมื่ออยู่ในสถานที่ห่างไกล การนำส่งแพทย์ต้องใช้เวลา อาจทำให้คนไข้ถึงแก่ชีวิตได้ ถ้ามีต้นรางจืดปลูกอยู่ในบ้าน ใช้ใบรางจืดไม่แก่ไม่อ่อนเกินไปนัก หรือรากที่มีอายุเกิน 1 ปีขึ้นไป และมีขนาดเท่านิ้วชี้ มาใช้เป็นยาบรรเทาพิษเฉพาะหน้าก่อนนำส่งโรงพยาบาล (รากรางจืดจะมีตัวยามากกว่าใบ 4-7 เท่า) ดินที่ใช้ปลูก ถ้าผสมขี้เถ้าแกลบหรือผงถ่านป่น จะช่วยให้ต้นรางจืดมีตัวยามากขึ้น<br />
<br />
รางจืด มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า <em>Thunbergia laurifolia</em> Linn. เป็นพืชในวงศ์ Thunbergiaceae ชื่อเฉพาะถิ่นภาคใต้ คือ กาย รางเย็น ดุเหว่า ทิดพุด และภาคเหนือ คือ แอดแอหรือยำแย้ (เต็ม, 2544) สามารถพบได้ทั่วไปตามป่าดงดิบ ป่าละเมาะหรือตามทุ่งหญ้า เป็นพืชรสเย็น สรรพคูณทางยา ใช้ส่วนของ ใบ ราก เถา ตำคั้นหรือเอารากฝนกับน้ำ หรือต้มเอาน้ำดื่ม ใช้ปรุงเป็นยาเขียวถอนพิษไข้ ถอนพิษผิดสำแดงและพิษอื่น ๆ ใช้แก้ร้อนในกระหายน้ำ รักษาโรคหอบหืดเรื้อรัง แก้อาการท้องร่วง แก้ประจำเดือนไม่ปกติ แก้ปวดหู ตำพอกแก้ปวดบวมและแก้อาการแพ้ แก้ผื่นคันผื่นคันเนื่องจากอาหารเป็นพิษ (มูลนิธิเพื่อพัฒนาการแพทย์ทางเลือก, 2549) ใช้แก้พิษเบื่อเมาเนื่องจากเห็ดพิษ สารหนูรวมถึงยาเบื่อประเภทยาสั่ง นอกจากนี้ยังสามารถแก้โรคพิษสุราเรื้อรังได้ดีการใช้รางจืดเพื่อลดระดับแอลกอฮอล์ก็มีด้วยกันหลากหลายวิธี ได้แก่ การนำใบสด 4 – 5 ใบ มาตำให้ละเอียดผสมกับน้ำซาวข้าวครึ่งแก้ว คั้นเอาแต่น้ำดื่มให้หมดทันทีที่มีอาการ อาจให้ดื่มซ้ำได้อีกใน 1/2 - 1 ชั่วโมงต่อมา (เอมอร, 2548 ; กรมอนามัย, 2549 ; มูลนิธิเพื่อพัฒนาการแพทย์ทางเลือก, 2549) หรืออาจใช้รากสด 1-2 นิ้วมือฝนหรือตำกับน้ำซาวข้าว แล้วดื่มขณะมีอาการ อาจรับประทานได้อีกใน 1/2 - 1 ชั่วโมงต่อมา อาจใช้ใบรางจืดแห้ง 300 กรัม (3 ขีด) ต่อน้ำ 1 ลิตรและให้ดื่มน้ำรางจืด 200 ลบ.ซม. ทุก 2 ชั่วโมง การใช้ใบรางจืดแบบแห้งอีกวิธี คือ ใบรางจืดแห้ง 1 หยิบมือ ชงกับน้ำเดือด 1 กาเล็ก (ใส่น้ำประมาณ 8 แก้ว) ดื่มแทนน้ำได้ทั้งวัน จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้เล็กน้อย (กรมอนามัย, 2549) อีกวิธีหนึ่งคือการนำรากรางจืดมาเคี้ยวไว้ในปากแบบเคี้ยวหมาก เคี้ยวไปดื่มเหล้าไป เชื่อว่าจะไม่ทำให้เมา (ลลิตา, 2551)<br />
<br />
<span style="color: #274e13;">ส่วนที่ใช้ :</span> ใบ ราก และเถาสด<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgtWQutSstHnG0C_6EZgtAWsSli9B3-h3EBFi3M_aNgBjNDoawsbCeCGRglOXux-F4QaDt9JiVQWjl3VrsqDUpXM8oMKgC-j8CI-0i1r_l6fyOy18M4FHWwJX-OHPA3dzUB6P-i_i-Ac48/s1600/rangjead.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgtWQutSstHnG0C_6EZgtAWsSli9B3-h3EBFi3M_aNgBjNDoawsbCeCGRglOXux-F4QaDt9JiVQWjl3VrsqDUpXM8oMKgC-j8CI-0i1r_l6fyOy18M4FHWwJX-OHPA3dzUB6P-i_i-Ac48/s320/rangjead.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
<br /><span style="color: #38761d;"><strong>ความเห็นส่วนตัว</strong></span><br />
<span style="color: #274e13;"></span> <br />
ที่ผมเคยเห็นมา ว่านรางจืดมี 2 ประเภทนะครับ <br />
1 ชนิดใช้ใบ คือเหมือนรูปตัวอย่าง เมื่อทานไปแล้วจะปัสสวะบ่อยไม่ต้องตกใจนะครับ <br />
<br />
2 ชนิดใช้ราก การใช้คือ น้ำรากมาต้มกิน เป็นยาขับปัสวะได้ด้วย ผมเองก็ปลูกไว้คับแต่ไม่เคยใช้เพราะใช้แบบชนิดกินใบง่ายกว่าครับ<br />
<br />
<u><span style="background-color: yellow; color: red;">คนที่เป็นโรคไตต้องปรึกษาแพทย์ก่อนนะครับเพราะ ว่านนี้ทำให้ปัสวะบ่อยมากครับ แต่ก็เป็นการขับสารพิษออกมาทางนี้เลยครับ</span></u><br />
<br />
<strong><span style="color: #38761d;">วิธีใช้ ของผมที่เคยทำ:</span></strong><br />
<span style="color: red;">ใบสด</span> (ทดสอบมากแล้ว)<br />
ใช้ใบสด 10-12 ใบ ต่อน้ำ 1 ลิตร ครับ (มากน้อยแล้วแต่ชอบเพราะจืดสมชื่อจริงๆ)<br />
<span style="color: #351c75;"> การต้มให้คนดื่มแนะนำให้ใช้ร่วมกับใบเตยจะได้หอมๆครับ พอต้มเสร็จก็ทิ้งไว้ให้เย็นอาจผสมน้ำผึ้งเพื่อการดื่มให้อร่อยครับ ผมทดสอบมาแล้ว อร่อยครับ อ่อที่สำคัญ อย่าใช้หม้อที่เป็นโลหะในการต้มนะครับเพราะผมยังหางานวิจัยรับรองไม่ได้ว่า รางจืดไปทำปฏิกิริยากับ โลหะหรือไม่ แต่ที่ทดสอบ หม้อจะเป็นรอยคราบเหมือนโดนกัดออกไป ผมเลยใช้โถแก้วหรือห้อมกระเบื่องครับ หรือใครจะใช้หม้อดินเผาก็ได้นะครับ</span><br />
<span style="color: red;">รากสด (ไม่เคยทดสอบ)</span><br />
<span style="color: #351c75;">นำรากมาฝนหรือตำกับน้ำซาวข้าว แล้วดื่มให้หมดทันทีที่มีอาการ อาจใช้ซ้ำได้อีกใน 1/2 - 1 ชั่วโมง ต่อมา</span><br />
<br />
จากประสบการณ์ของ<span style="color: red;">นายหนอม ราชแก้ว</span> แพทย์พื้นบ้านที่มีชื่อเสียงในอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ซึ่งเคยนำรางจืดมาใช้ในการลดระดับแอลกอฮอล์ ในผู้ที่มีอาการเมา ปวดหัวและรู้สึกอ่อนเพลีย โดยเก็บใบรางจืดที่มีลักษณะไม่แก่ไม่อ่อนจนเกินไป จำนวน 25 ใบ แล้วนำมาตำโดยเติมน้ำเข้าไป 3 ใน 4 แก้ว คั้นน้ำรางจืดให้ดื่ม หลังจากดื่มจะอาเจียน แล้วให้ทานกล้วยตาม 2-3 ลูกหรือขนุน 2-3 ชิ้น ประมาณ 20 นาที ผู้ป่วยจะสามารถลุกไปทำงานต่อได้ทันที (หนอม , 2550)<br />
<div style="text-align: justify;">
นอกจากนั้นยังมีรายงาน<span style="color: red;"><span style="background-color: yellow;">การศึกษารางจืดพบว่า สามารถแก้โรคพิษสุราเรื้อรัง</span> </span> และผู้นิยมสมุนไพรยังแจ้งผลการใช้มาว่า <span style="background-color: yellow; color: red;"> รางจืดสามารถแก้พิษได้อีกหลายอย่าง เช่น สุนัขเฝ้าบ้านซึ่งโดนวางยาเบื่อ รอดชีวิต</span>เพราะเจ้าของคั้นน้ำรางจืดให้กินหรือในอดีตใครที่ถูกวางยาก็มักจะแก้ด้วยรางจืด รวมทั้งแก้พิษเบื่อเมาจากอาหาร เช่น เห็ด ผักหวาน ว่านพิษหรือพิษจากสัตว์</div>
<br />
<div style="text-align: justify;">
<strong>พฤกษเคมี</strong> (phytochemical profiling) ของรางจืด ประกอบไปด้วยกลุ่มโพลีฟีนอล(polyphenol) ได้แก่ กรดฟีนอลิค(phenolic acid) เช่น กรดแกลลิก(gallic acid), กรดคาเฟอิค (caffeic acid) ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ , กรดโปรโตคาเทคซูอิค (protocatechuic acid) อีกกลุ่มคือ ฟลาโวนอยด์(flavonoid) ได้แก่ อาพิจินิน (apigenin)และอาพิจินิน กลูโคไซด์ (apigenin glucoside) โดยเฉพาะอาพิจินิน ซึ่งเป็นสารสำคัญในรางจืดที่สามารถยับยั้งพิษของสารหนูในการเปลี่ยนการควบคุม (deregulation) ของความเครียดเส้นใย (stress fiber) ซึ่งมีความจำเพาะต่อการจัดเรียงโครงร่างของเซลล์ นอกจากนี้โพลีฟีนอลยังเป็นตัวเก็บสารอนุมูลอิสระ เนื่องด้วยเป็นกลุ่มไฮดรอกซิลในโครงสร้างทางเคมี จึงสามารถจับสารอนุมูลอิสระและกําจัดออกไป รวมถึงช่วยป้องกันกระบวนการของโรครายต่างๆ โดยเพิ่มประสิทธิภาพของสารต้านอนุมูลอิสระและสร้างเสริมกระบวนการของเอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ กลูตาไธโอน-รีดักเทส (glutathione reductase) และกลูตาไธโอน-เอส-ทรานสเฟอเรส (glutathione-S-transferase)</div>
<br />
<div style="text-align: justify;">
<strong><span style="background-color: #ffe599;">การศึกษาความเป็นพิษของรางจืด</span></strong> เมื่อบริโภคขนาดสูงและขนาดเทียบเท่ากับการดื่มชาในคนทุกวันต่อเนื่องกัน โดยใช้หนูขาวสายพันธุ์สเปรค ดอวเลย์ (Spraque-Dawley) เป็นสัตว์ทดลองพร้อมกับศึกษาฤทธิ์การก่อกลายพันธุ์ของรางจืดโดยใช้แบคทีเรีย ซัลโมเนลลา ไทฟิมูเรียม(<em>Salmonella <a href="http://www.google.co.th/search?hl=th&sa=X&oi=spell&resnum=0&ct=result&cd=1&q=Sprague-Dawley+Salmonella+typhimurium+&spell=1">typhimurium) </a></em> สายพันธุ์ทีเอ98 (TA98) และ ทีเอ100 (TA100) ผลการทดลองพบว่าน้ำสกัดใบรางจืดขนาดสูง 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมโดยทั่วไปของหนูขาวและไม่พบความผิดปกติของอวัยวะภายใน เมื่อทดสอบให้น้ำสกัดใบรางจืดขนาด 500 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อเนื่องกันเป็นเวลา 28 วัน พบว่าไม่มีหนูขาวตัวใดเสียชีวิตในระหว่างการทดสอบและไม่พบความผิดปกติของอวัยวะภายในทั้งหมด ยกเว้นน้ำหนักของตับ ไตและผลทางโลหิตวิทยาบางค่าของกลุ่มหนูขาวเพศผู้ แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติจากกลุ่มควบคุม ในกลุ่มหนูขาวที่ได้รับน้ำสกัดใบรางจืดเป็นเวลา 28 วันและหยุดให้เพื่อสังเกตอาการต่อไปอีกเป็นเวลา 14 วัน พบว่าน้ำหนักตับและไตของหนูขาวเพศเมียต่ำกว่ากลุ่มควบคุม นอกจากนี้พบว่าระดับ มาลอนไดอัลดีไฮด์ (malondialdehyde) ซึ่งเป็นผลผลิตของขบวนการเกิดปฏิกิริยาลิปิดเปอร์ออกซิเดชั่น (lipid peroxidation) ในซีรั่มของหนูขาวเพศผู้ลดลงอย่างชัดเจนและรางจืดความเข้มข้นระหว่าง 2.5-20.0 มิลลิลิตร ไม่ก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ (วิรวรรณ และคณะ, 2546) นอกจากนี้ได้มีศึกษาพิษรางจืดในม้ามของหนูขาว (วีระชัย, 2547) โดยการประยุกต์ใช้เครื่องมือวิเคราะห์สารด้วยอินฟราเรด (Fourier-Transformed Infrared Spectrophotometer : FTIR) พิจารณาร่วมกับผลทางชีวเคมีและโลหิตวิทยา พบว่ามีการเคลื่อนของเลขคลื่น (FTIR spectra) ในบริเวณเอมีนที่ 1 (amide I) ของหนูที่ได้รับรางจืด (8,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม) เมื่อเปรียบเทียบกับหนูกลุ่มควบคุม (control rats) และมีการเพิ่มขึ้นของระดับบิลิรูบิน(bilirubin) สารสำคัญที่เกิดจากเอนไซม์ฮีม ออกซีจีเนส (heme oxygenase enzyme) ที่มีฤทธิ์ในการป้องกันและปรับผลจากความเครียดออกซิเดชั่น (oxidative stress) และความเครียดไนโตรเซชั่น (nitrosative stress) (Foresti <em>et al.,</em> 2003) ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดจากการสร้างอนุมูลอิสระออกมามาก จนเกินกว่าธรรมชาติของร่างกายจะสามารถสร้างสารต้านอนุมูลอิสระมาจับตัวอนุมูลอิสระได้ทั้งหมด จึงเป็นเหตุให้เกิดโรคต่าง ๆ จากความเสื่อมของเซลล์ในร่างกายขึ้น ฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระของน้ำสารสกัดรางจืด วัดโดยวิธีการรีดิวซ์เหล็กเฟอร์ริก (ferric reducing antioxidant power: FRAP) พบว่ามาจากการรีดิวซ์สารประกอบเชิงซ้อนของเหล็กที่มีวาเลนซี 2 เป็นเหล็กที่มีวาเลนซี 3 (Wong <em>et al.</em>, 2006) โดยช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์ถูกทำลายจากอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นและชะลอโรคที่เกี่ยวข้องกับความเสื่อมของเซลล์จากความเครียดออกซิเดชั่น (oxidative stress)</div>
<br />
<div style="text-align: justify;">
จากข้อมูลข้างต้น จะเห็นว่ามีผู้สนใจศึกษาการใช้รางจืดในการแก้พิษ ตามหลัก<a class="mykeyword" href="http://www.ttmed.psu.ac.th/" target="_blank" title="http://www.ttmed.psu.ac.th">การแพทย์แผนไทย</a>ค่อนข้างมาก เนื่องจากมีการใช้มานานและเป็นที่ยอมรับ แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องการข้อมูลที่ถูกต้องและมากเพียงพอทั้งด้านฤทธิ์และกลไกทางเภสัชวิทยา ความปลอดภัย และประสิทธิผลทางคลินิก เพื่อส่งเสริมการใช้รางจืดได้อย่างถูกต้องและปลอดภัยต่อผู้บริโภค</div>
<br />
<div style="text-align: justify;">
</div>
<br />
<strong>เอกสารอ้างอิง</strong><br />
<br />
กรมอนามัย, กระทรวงสาธารณสุข. (2551). สมุนไพรกับสุขภาพ: รางจืด แก้พิษ แก้เมา. สืบค้นจาก : http://advisor.anamai.moph.go.th/hph/herbs/herbindex.html, เข้าถึงวันที่ 12 มกราคม 2551.<br />
<br />
เต็ม สมิตินันทน์. (2544). <strong>ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย</strong>. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพ: บริษัทประชาชน จำกัด, 331.<br />
<br />
มูลนิธิเพื่อพัฒนาการแพทย์ทางเลือก. (2549). <strong>Alcohol Knowledge</strong>.นิตยสารอัลเทอร์เนทีฟ เมดิซิน ,6(3).<br />
<br />
ลลิตา ธีระสิริ. (2551).<strong>บัลวีรายปักษ์:แก้เมาค้าง</strong> . สืบค้นจาก :http://www.balavi.com/content_th/<br />
<br />
Health_T/HT00020.asp, เข้าถึงเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2550. <br />
<br />
วิรวรรณ วิสิฐพงศ์พันธ์ และคณะ. (2546). <strong>การทดสอบความเป็นพิษของน้ำสกัดใบรางจืดในหนูขาว</strong>.<br />
<br />
เชียงใหม่ : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.<br />
<br />
<strong><u><span style="color: red;">คำเตือน : </span><span style="color: red;">สำหรับการถอนพิษยาฆ่าแมลง ยาพิษและสตริกนินนั้น ต้องใช้ยาเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ จึงจะได้ผลดี ถ้าพิษถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายมากหรือทิ้งไว้ข้ามคืน จะทำให้ประสิทธิผลของรางจืดลดน้อยลง มีการศึกษาวิจัยพบว่า อาจใช้น้ำคั้นใบสดให้ผู้ป่วยที่กินยาฆ่าแมลงดื่มเป็นการปฐมพยาบาล ก่อนนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลได้ แต่จะไม่ให้ผลในการกินเพื่อป้องกันก่อนสัมผัสยาฆ่าแมลง โดยการศึกษาครั้งแรกมีขึ้นที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีการทำการทดลองในหนูขาว โดยให้หนูได้รับพิษโพลิดอลซึ่งเป็นยาฆ่าแมลงชนิดหนึ่ง อยู่ในกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต พบว่า ใบรางจืดสามารถลดอัตราการตายของหนูจากพิษโพลิดอลได้ดีพอควร แม้ยังไม่ทราบถึงกลไกการแก้พิษนี้ก็ตาม โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช จ.สุพรรณบุรี ได้ทำการศึกษาเช่นหัน โดยเก็บข้อมูลเบื้องต้นของการใช้รางจืดรักษาผู้ป่วยที่ได้รับพิษจากยาฆ่าหญ้า “พาราควอท” (ชื่อการค้า “กรัมม็อกโซน”) ก่อนการทดลองเมื่อดูข้อมูลย้อนหลังไป 3 ปี พบว่าผู้ป่วยที่ได้รับพาราควอทแล้วมาโรงพยาบาลมักเสียชีวิต แม้ว่าจะมีการรักษาตามขั้นตอนของการแก้พิษ คือ การให้ยาขับปัสสาวะ ยาถ่าย ทำให้อาเจียนและล้างท้อง แต่หลังจากใช้รางจืดรักษาควบคู่กับวิธีของทางโรงพยาบาล พบว่าผู้ป่วยรอดชีวิตร้อยละ 51 ซึ่งมากกว่าการรักษาแบบปกติของโรงพยาบาล</span></u></strong>http://food-plants.blogspot.com/http://www.blogger.com/profile/04223739952562743625noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6514530156973123374.post-19006521230748890362012-07-05T15:25:00.001+07:002012-07-09T14:03:09.434+07:00กระเจียบแดง ลดไขมันในเส้นเลือด ลดความดันโลหิต<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
กระเจียบแดง ลดไขมันในเส้นเลือด ลดความดันโลหิต</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj_YMBUd726LtcDi8wo_SKPmx9Zt5oM1gcz1RBKjmOyVZTvPY7Tku2vRGThEa1dHkk41I2b2yrJMDFap3IgnchH6PCWeG4vVQ-2cMVHyqlTy6X9jKCxDcomRMKalnI-4UW6afBOH1yz5J8/s1600/kajeb.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj_YMBUd726LtcDi8wo_SKPmx9Zt5oM1gcz1RBKjmOyVZTvPY7Tku2vRGThEa1dHkk41I2b2yrJMDFap3IgnchH6PCWeG4vVQ-2cMVHyqlTy6X9jKCxDcomRMKalnI-4UW6afBOH1yz5J8/s1600/kajeb.png" /></a></div>
<div align="center">
</div>
<br />
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Hibiscus sabdariffa L.<br />
ชื่อสามัญ : Jamaican Sorel, Roselle<br />
วงศ์ : Malvaceae<br />
<br />
ชื่ออื่น : กระเจี๊ยบ กระเจี๊ยบเปรี้ยว ผักเก็งเค็ง ส้มเก็งเค็ง ส้มตะเลงเครง<br />
<br />
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้พุ่ม สูง 50-180 ซม. มีหลายพันธุ์ ลำต้นสีม่วงแดง ใบเดี่ยว รูปฝ่ามือ 3 หรือ 5 แฉก กว้างและยาวใกล้เคียงกัน 8-15 ซม. ดอกเดี่ยว ออกที่ซอกใบ กลีบดอกสีชมพูหรือเหลืองบริเวณกลางดอกสีม่วงแดง เกสรตัวผู้เชื่อมกันเป็นหลอด ผลเป็นผลแห้ง แตกได้ มีกลีบเลี้ยงสีแดงฉ่ำน้ำหุ้มไว้<br />
<br />
<span style="color: magenta;"><strong>สรรพคุณ :</strong></span> <br />
<span style="color: black;"><span style="color: red;">กลีบเลี้ยงของดอก</span> หรือกลีบที่เหลืออยู่ที่ผล </span><br />
<span style="color: black;"><br />1. เป็นยาลดไขมันในเส้นเลือด และช่วยลดน้ำหนักด้วย <br />2. ลดความดันโลหิตได้โดยไม่มีผลร้ายแรงแต่อย่างใด <br />3. น้ำกระเจี๊ยบทำให้ความเหนียวข้นของเลือดลดลง <br />4. ช่วยรักษาโรคเส้นโลหิตแข็งแรงได้ดี <br />5. น้ำกระเจี๊ยบยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ เป็นการช่วยลดความดันอีกทางหนึ่ง <br />6. ช่วยย่อยอาหาร เพราะไม่เพิ่มการหลั่งของกรดในกระเพาะ <br />7. เพิ่มการหลั่งน้ำดีจากตับ <br />8. เป็นเครื่องดื่มที่ช่วยให้ร่างกายสดชื่น เพราะมีกรดซีตริคอยู่ </span><br />
<br />
<span style="color: black;"><span style="color: red;">ใบ</span> - มีรสเปรี้ยว แก้โรคพยาธิตัวจี๊ด ยากัดเสมหะ แก้ไอ ขับเมือกมันในลำคอให้ลงสู่ทวารหนัก </span><br />
<span style="color: black;"><span style="color: red;">ดอก</span> - แก้โรคนิ่วในไต แก้โรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะขัดเบา ละลายไขมันในเส้นเลือด กัดเสมหะ ขับเมือกในลำไส้ให้ลงสู่ทวารหนัก </span><br />
<span style="color: black;"><span style="color: red;">ผล</span> - ลดไขมันในเลือด แก้กระหายน้ำ รักษาแผลในกระเพาะ </span><br />
<span style="color: black;"><span style="color: red;">เมล็ด</span> - รสเมา บำรุงธาตุ บำรุงกำลัง แก้ดีพิการ ขับปัสสาวะ ลดไขมันในเส้นเลือด <br />นอกจากนี้ ได้บ่งสรรพคุณโดยไม่ได้ระบุว่าใช้ส่วนใด ดังนี้คือ แก้อ่อนเพลีย บำรุงกำลัง บำรุงธาตุ แก้ดีพิการ แก้ปัสสาวะพิการ แก้คอแห้งกระหายน้ำ แก้ความดันโลหิตสูง กัดเสมหะ แก้ไอ ขับเมือกมันในสำไส้ ลดไขมันในเลือด บำรุงโลหิต ลดอุณหภูมิในร่างกาย แก้โรคเบาหวาน แก้เส้นเลือดตีบตัน นอกจากใช้เดี่ยวๆ แล้วยังใช้ผสมในตำรับยาร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นใช้ถ่ายพยาธิตัวจี๊ด </span><br />
<br />
<br />
<strong><span style="color: magenta;">วิธีและปริมาณที่ใช้ :</span></strong><br />
โดยนำเอากลีบเลี้ยง หรือกลีบรองดอกสีม่วงแดง ตากแห้งและบดเป็นผง ใช้ครั้งละ 1 ช้อนชา (หนัก 3 กรัม) ชงกับน้ำเดือด 1 ถ้วย (250 มิลลิลิตร) ดื่มเฉพาะน้ำสีแดงใส ดื่มวันละ 3 ครั้ง ติดต่อกันทุกวันจนกว่าอาการขัดเบาและอาการอื่นๆ จะหายไป<br />
สารเคมี<br />
ดอก พบ Protocatechuic acid, hibiscetin, hibicin, organic acid, malvin, gossypetin<br />
คุณค่าด้านอาหาร<br />
<span style="color: red;"> <span style="background-color: yellow;">น้ำกระเจี๊ยบแดง มีรสเปรี้ยว นำมาต้มกับน้ำ เติมน้ำตาล ดื่มแก้ร้อนใน กระหายน้ำ และช่วยป้องกันการจับตัวของไขมันในเส้นเลือดได้</span></span> และยังนำมาทำขนมเยลลี่ แยม หรือใช้เป็นสารแต่งสี ใบอ่อนของกระเจี๊ยบเป็นผักได้ หรือใช้แกงส้ม รสเปรี้ยวกำลังดี กระเจี๊ยบเปรี้ยวมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า "ส้มพอเหมาะ" ในใบมี วิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา ส่วนกลีบเลี้ยงและกลีบดอก มีสารแคลเซียม ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง<br />
น้ำกระเจี๊ยบแดงที่ได้สีแดงเข้ม สาร Anthocyanin นำไปแต่งสีอาหารตามต้องการ<br />
<br />
ขอบคุณ <a href="http://www.rspg.or.th/">http://www.rspg.or.th</a>http://food-plants.blogspot.com/http://www.blogger.com/profile/04223739952562743625noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6514530156973123374.post-3120103754153707652012-07-05T15:22:00.001+07:002013-05-26T20:13:22.192+07:00ดอกอัญชัน ป้องกัน หลอดเลือดอุดตัน บำรุงสายตา<div style="text-align: center;">
<br />
<strong><span style="color: blue;">อัญชันดอกไม้ที่มากไปด้วยสรรพคุณ</span></strong></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhc4meB_gqNvzlUmA2dC6jziwxH9xTgkr7MKOPEK8os2iLWGhq-eRNzlKfFLKoHA7bGLuEuAPgZmZ5eqZl3CIQnNNnAX-pqgRRhkyX3-pX5LB877RTYZ7qjgCvo1_yNaifqomdlL7Tt1-U/s1600/aunchan.gif" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhc4meB_gqNvzlUmA2dC6jziwxH9xTgkr7MKOPEK8os2iLWGhq-eRNzlKfFLKoHA7bGLuEuAPgZmZ5eqZl3CIQnNNnAX-pqgRRhkyX3-pX5LB877RTYZ7qjgCvo1_yNaifqomdlL7Tt1-U/s1600/aunchan.gif" /></a></div>
<div align="center">
</div>
<div>
</div>
<div>
<span style="color: magenta;"><strong>อัญชํญดอกไม้ที่มากไปด้วยสรรพคุณ</strong></span></div>
<strong> อัญชัน ดอกไม้สีสันอมม่วง ที่เป็นพวงชูช่อ ดูแล้วสวยงาม แต่คุณรู้ไหมว่า อัญชัน มีประโยชน์</strong><br />
<strong>มากเราลองมาดูกันนะครับ</strong><br />
<strong></strong> <br />
<span style="color: green;"> <span style="color: black;"><strong>ราก</strong></span> : รสเย็นจืด บำรุงดวงตา ทำให้ตาสว่าง ขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ แก้ปวดฟัน ทำ ให้ฟันทน</span><br />
<div>
<span style="color: black;"><strong>สีจากดอกอัญชัน</strong></span> ใช้ทำประโยชน์ได้หลายอย่าง นิยมใช้ดอกสีน้ำเงินซึ่งมีสาร Anthocyanin ใช้ ทำสีขนม เช่น ขนมดอกอัญชัน ขนมช่อม่วง ทำน้ำดื่มสมุนไพร ได้ น้ำสีม่วงสวย เพราะสีของดอกอัญชันละลายน้ำได้ รวมทั้งสีเปลี่ยน ไปตามความเป็นกรดด่าง คล้าย กระดาษลิตมัสที่ใช้ตรวจสอบความ เป็นกรดด่างของสารละลาย</div>
<div>
<span style="color: black;"><strong>ดอกอัญชัน</strong></span> กินเป็นผักได้ ทั้ง จิ้มน้ำพริกสดๆ หรือชุบแป้งทอด</div>
<div>
</div>
<div>
<em><img alt="" src="http://www.bloggang.com/data/praewkwun/picture/1138530136.gif" /></em><strong>ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับจากดอก อัญชัน</strong> มีหลายประการดังนี้</div>
<ol>
<li><strong><span style="color: blue;">เป็นเครื่องดื่มดับกระหาย</span></strong> มีสารแอนโธไซยานิน มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เสริมภูมิต้านทาน</li>
<li><strong><span style="color: blue;">ใช้เป็นสีผสมอาหาร</span></strong> โดยเฉพาะในขนมไทย เช่น ขนมชั้น ขนมน้ำดอกไม้</li>
<li><span style="color: red;"><strong><span style="color: blue;">สารแอนโธไซยานิน</span></strong> <span style="color: black;">มีอยู่มากในดอกอัญชัน</span></span><span style="font-family: Arial;"><br /><strong><span style="color: #ff6600;">แอนโธไซยานิน</span></strong> มีหน้าที่ปกป้องผักและผลไม้จากการทำลายของรังสีอัลตราไวโอเลต มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ การวิจัยพบว่าสารกลุ่มแอนโธไซยานินมีฤทธิ์ต้านออกซิเดชั่นของไขมันแอลดีแอล (LDL) และยังทำให้เซลล์บุผนังหลอดเลือดมีความอ่อนนิ่ม การกินผักและผลไม้ที่มีสีน้ำเงินและสีม่วงจึงสามารถชะลอการเกิดโรคไขมันอุดตัน ในหลอดเลือดและโรคหลอดเลือดหัวใจแข็งตัวได้ ในประเทศไทยมีการใช้น้ำดอกอัญชันช่วยปลูกผมปลูกคิ้ว เชื่อว่าน้ำคั้นจากดอกอัญชันทำให้ผมดกดำได้สารแอนโธไซยานินในดอกอัญชันเพิ่มความสามารถในการมองเห็นหรือชะลอความเสื่อมของดวงตา เนื่องจากสารดังกล่าวเพิ่มความสามารถในการไหลเวียนเลือดในหลอดเลือดเล็กๆ ส่วนปลาย ทำให้มีเลือดมาเลี้ยงรากผมและดวงตาได้ดีขึ้นนั่นเอง ดอกอัญชันสามารถกินสดแก้ลมน้ำพริกหรือต้มน้ำดื่มก็ได้<br /><br /><span style="color: yellow;"><span style="color: #0b5394;"><span style="font-family: Tahoma;"><span class="Apple-style-span" style="color: red;"><strong>แอนโทไซยานิน (</strong></span><span class="Apple-style-span" style="color: red;"><a href="http://www.foodnetworksolution.com/vocab/wordcap/anthocyanin"><strong><span style="color: #2288bb;">anthocyanin</span></strong></a><strong>s)</strong></span></span> สีม่วงจากพืชตระกูลบลูเบอร์รี่ ถูกใช้เพื่อเสริมสมรรถภาพการมองเห็นและลดปัญหาที่เกิดกับระบบหมุนเวียนของเลือด ในลักษณะเดียวกับการใช้น้ำคั้นอัญชันมาเป็นเวลานาน มีการใช้ในผู้ป่วยเบาหวานและแผลในกระเพาะอาหาร จึงมีคุณสมบัติต้านการเกิดโรคมะเร็ง ทำให้เซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวตายและต้านการเกิดสารก่อมะเร็งในสัตว์ทดลอง</span></span><br />พืชที่มีแอนโธไซยานินมักพบสารกลุ่มโพลีฟีนอลด้วย สารกลุ่มนี้มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและช่วยชะลอสภาวะเสื่อมของเซลล์</span><span style="font-family: Times New Roman;"><span style="background-color: yellow; color: red;">เพราะสาร สารแอนโธไซยานิน นี่แหละ ไปกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดทำให้ไปเลี้ยงส่วนต่างๆได้ดีขึ้น เช่น ไปเลี้ยงรากผม ทำให้ผมดก เงางาม ไปเลี้ยงดวงตา ทำให้ตามองเห็นชัดเจน ไปเลี้ยงปลายนิ้ว(คนแก่เป็นกันเยอะ ปลายนิ้วชา) จะทำให้ไม่เป็นเน็บชา ที่สำคัญ ช่วยลดความเสี่ยงเป็นเส้นเลือดอุดตันด้วยแถมยังชลอความแก่ และยัง</span></span><span style="font-family: Times New Roman;"><span style="background-color: yellow; color: red;"><span style="font-family: Tahoma;"><span style="background-color: white;"><span lang="TH" style="color: #7030a0; font-family: Tahoma, sans-serif;"><span class="Apple-style-span" style="color: red;"><span lang="TH">มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (</span><a href="http://www.foodnetworksolution.com/vocab/wordcap/antioxidant"><span style="color: #2288bb;">antioxidant</span></a>) <span lang="TH">ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิด โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน</span><span lang="TH">และโรคมะเร็ง </span></span><b><o:p></o:p></b><br /><span style="color: #7030a0;"><span lang="TH">-มีคุณสมบัติล้างพิษ ของเสียต่างๆ ออกจากร่างกายและช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ โรคมะเร็ง ช่วยชลอความแก้ บำรุงสมอง และต้านอนุมูลอิสระ </span></span></span></span></span></span></span><span style="font-family: Times New Roman;"><span style="background-color: yellow; color: red;"><span style="font-family: Tahoma;"><span style="background-color: white;"><span lang="TH" style="color: #7030a0; font-family: Tahoma, sans-serif;"><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="color: #7030a0;">- </span><span class="Apple-style-span" style="color: red;">ช่วยลดน้ำตาลในเลือด ของผู้ป่วยโรคเบาหวาน </span></span><br /><span style="color: #7030a0;"><span lang="TH"> </span></span><span class="Apple-style-span" style="color: #7030a0; font-family: "Times New Roman", serif;">-</span><span class="Apple-style-span" style="color: red; font-family: "Times New Roman", serif;">ช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยแห่งวัยและช่วยทำลายพิษจากอนุมูลอิสระ</span></span></span></span></span></span><span style="font-family: Times New Roman;"><span style="background-color: yellow; color: red;"><span style="font-family: Tahoma;"><span style="background-color: white;"><span lang="TH" style="color: #7030a0; font-family: Tahoma, sans-serif;"></span></span></span></span></span></li>
<span style="font-family: Times New Roman;"><span style="background-color: yellow; color: red;"><span style="font-family: Tahoma;"><span style="background-color: white;"><span lang="TH" style="color: #7030a0; font-family: Tahoma, sans-serif;"></span></span></span></span></span></ol>
<br />
<strong>ข้อแนะนำการดื่ม</strong><br />
1. ควรดื่มทันทีที่ปรุงเสร็จ เพื่อให้ได้คุณค่าทางอาหารและยา<br />
2. การดื่มน้ำสมุนไพรชนิดเดียวติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ๆ อาจทำให้เกิดการสะสมสารบางชนิดที่มีฤทธิ์ต่อร่างกายได้<br />
3. การดื่มน้ำสมุนไพรร้อน ๆ ที่มีอุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียสขึ้นไป จะทำให้เยื่อบุผิวหลอดอาหารเสียสภาพภูมิคุ้มกันเฉพาะที่ และอาจทำให้มีการดูดซึมสารก่อมะเร็ง จุลินทรีย์ ฯลฯ ได้ง่าย <br />
<br />
<em> </em><strong>แนะนำ</strong> <strong>น้ำดอกอัญชัน </strong><br />
<div>
ส่วนผสม</div>
<div>
น้ำดอกอัญชัน 1 ถ้วย</div>
<div>
น้ำเชื่อม 4 ช้อนโต๊ะ</div>
<div>
น้ำ ผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ</div>
<div>
</div>
<div>
</div>
<span style="background-color: yellow; color: red;"><strong>ข้อห้าม</strong></span> ห้ามคนที่เป็นโลหิตจาง ทานเด็ดขาด เพราะดอกอัญชันนี้ จะทำให้เลือดจางลงครับ (ผมไปอ่านมาจาก <a href="http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/article/24357">http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/article/24357</a>) เค้าเป็นผู้ป่วนเส้นเลือดสมองตีบครับแต่เค้าก็ทานน้ำ ดอกอัญชันช่วย เพิ่อให้เส้นเลือดหายตีบ หรือ ตีบน้อยลง ครับ<br />
<br />
<span style="color: magenta;">ฉะนัน อย่าไปเชื่อใครง่ายๆนะครับ เราต้องวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ถึงสรรพคุณ และงานวิจัยที่ออกมารองรับด้วยนะครับ อย่าไปหลงเชื่อยาวิเศษที่ไหนกินได้หมดหายทุกโรค มันคงไม่มีอยู่จริงครับ ควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนนะครับ</span><br />
หากมีข้อสงสัยติดต่อผมได้ครับ <br />
<br />http://food-plants.blogspot.com/http://www.blogger.com/profile/04223739952562743625noreply@blogger.com0